โรคมะเร็ง สาเหตุ อาการ การป้องกัน และแนวทางกาารรักษาโรคมะเร็ง เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์เหล่านี้สามารถรุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายผ่านทางกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลือง ทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะและระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย
สาเหตุของโรคมะเร็ง
สาเหตุของโรคมะเร็งมีความซับซ้อนและมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยสรุปได้ดังนี้:
พันธุกรรม (Genetics):
ประมาณ 5-10% ของโรคมะเร็งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่บางชนิด
สารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม (Environmental Carcinogens):
สารเคมี: เช่น สารหนู, เบนซีน, แร่ใยหิน (asbestos), สารเคมีในควันบุหรี่ (สารเคมีกว่า 7,000 ชนิด โดย 70 ชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง), ยาฆ่าแมลง
มลภาวะทางอากาศ: เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ควันจากท่อไอเสีย ควันจากการเผาไหม้
รังสี: เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด (สาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง), รังสีจากการวินิจฉัยและรักษา (เช่น รังสีเอกซ์, รังสีแกมมา) หากได้รับปริมาณสูงเกินไป
การติดเชื้อ (Infections):
ไวรัส:
HPV (Human Papillomavirus): สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทวารหนัก คอหอยส่วนปาก
HBV (Hepatitis B Virus) และ HCV (Hepatitis C Virus): สาเหตุหลักของมะเร็งตับ
EBV (Epstein-Barr Virus): เชื่อมโยงกับมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด
HHV-8 (Human Herpesvirus

: เชื่อมโยงกับ Kaposi's Sarcoma (มะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนชนิดหนึ่ง)
แบคทีเรีย: เช่น Helicobacter pylori (H. pylori) เชื่อมโยงกับมะเร็งกระเพาะอาหาร
ปรสิต: เช่น พยาธิใบไม้ในตับ (Opisthorchis viverrini) ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดี
พฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Factors):
การสูบบุหรี่และรับควันบุหรี่มือสอง: สาเหตุสำคัญของมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และอื่นๆ
การดื่มแอลกอฮอล์: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งช่องปาก คอหอย หลอดอาหาร ตับ และเต้านม
อาหารและโภชนาการ:
การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปมากเกินไป (ไส้กรอก แฮม เบคอน) เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
การบริโภคอาหารไขมันสูง อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม
การขาดการบริโภคผักและผลไม้
ภาวะอ้วนและขาดการออกกำลังกาย: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ไต และเยื่อบุโพรงมดลูก
อายุ (Age):
ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น เนื่องจากเซลล์มีโอกาสสะสมความผิดปกติทางพันธุกรรมมากขึ้น และระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
อาการของโรคมะเร็ง
อาการของโรคมะเร็งมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ตำแหน่งที่เกิด และระยะของโรค แต่มีสัญญาณเตือนทั่วไปที่ควรสังเกต:
มีก้อนหรือตุ่มผิดปกติ: โดยเฉพาะที่เต้านม คอ รักแร้ ขาหนีบ
แผลเรื้อรัง: ที่ไม่หายภายใน 2-4 สัปดาห์
ไฝ ปาน หูด ที่มีขนาด สี หรือรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป
ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบเรื้อรัง
มีเลือดออกผิดปกติ: เช่น เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดาไหลไม่ทราบสาเหตุ
กลืนลำบาก หรืออาหารไม่ย่อยเรื้อรัง
น้ำหนักลดผิดปกติ โดยไม่ทราบสาเหตุ (มากกว่า 10% ของน้ำหนักตัวใน 6 เดือน)
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด: อาจเกิดจากภาวะโลหิตจางจากมะเร็ง
ปวดเรื้อรัง: ไม่หายด้วยยาแก้ปวดทั่วไป
การเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย: ท้องผูกสลับท้องเสีย หรือถ่ายเป็นลำเล็กผิดปกติ
มีไข้ต่ำๆ ไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะช่วงบ่าย-เย็น
ข้อควรย้ำ: อาการเหล่านี้อาจเกิดจากภาวะอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็งได้เช่นกัน แต่หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
การป้องกันโรคมะเร็ง
การป้องกันโรคมะเร็งที่ดีที่สุดคือการลดปัจจัยเสี่ยงที่เราสามารถควบคุมได้ และการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ:
หลีกเลี่ยงหรือลดปัจจัยเสี่ยง:
ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง/มือสาม
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี หลีกเลี่ยงเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป ลดอาหารไขมันสูง ปิ้งย่างไหม้เกรียม
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: และหลีกเลี่ยงภาวะอ้วน
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด: สวมเสื้อผ้าป้องกัน ใช้ครีมกันแดด
ป้องกันตนเองจากมลภาวะทางอากาศและสารเคมีอันตราย: เช่น สวมหน้ากากเมื่อฝุ่นเยอะ ทำงานในที่ที่มีการระบายอากาศดี
ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ: เช่น วัคซีน HPV (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก) วัคซีน HBV (ป้องกันมะเร็งตับ)
การตรวจคัดกรองมะเร็ง (Cancer Screening):
เป็นการตรวจหาโรคมะเร็งตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ หรืออยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาหายขาดสูง เช่น
ผู้หญิง: ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear/HPV DNA Test) และมะเร็งเต้านม (Mammogram) ตามคำแนะนำของแพทย์
ผู้ชาย/ผู้หญิง: ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัว
การตรวจสุขภาพประจำปี: รวมถึงการตรวจเลือด และการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงส่วนบุคคล
แนวทางการรักษาโรคมะเร็ง
แนวทางการรักษามะเร็งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ตำแหน่ง ขนาด การแพร่กระจาย สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และความเห็นของผู้ป่วยและครอบครัว การรักษาโรคมะเร็งมักเป็นการผสมผสานหลายวิธี (Multimodal Therapy):
การผ่าตัด (Surgery):
เป็นวิธีการหลักในการรักษามะเร็งระยะเริ่มต้น โดยการตัดก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อข้างเคียงที่อาจมีเซลล์มะเร็งออกไป อาจมีการตัดต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงออกไปด้วย
รังสีรักษา (Radiation Therapy):
เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง สามารถใช้ก่อนหรือหลังผ่าตัด หรือใช้ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด หรือใช้เพื่อบรรเทาอาการ
ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy):
เป็นการใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยยาจะเข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปทั่วร่างกาย สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ทั้งในตำแหน่งเดิมและที่แพร่กระจายไปแล้ว
ยาบำบัดแบบจำเพาะเจาะจง (Targeted Therapy):
เป็นยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อเป้าหมายที่พบในเซลล์มะเร็ง เช่น โปรตีน หรือยีนที่ผิดปกติ ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อเซลล์ปกติในร่างกายน้อยกว่ายาเคมีบำบัด
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy):
เป็นการใช้ยาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้จดจำและเข้าโจมตีเซลล์มะเร็ง
ฮอร์โมนบำบัด (Hormone Therapy):
ใช้สำหรับมะเร็งบางชนิดที่เจริญเติบโตโดยอาศัยฮอร์โมน (เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) โดยยาจะยับยั้งการทำงานหรือการสร้างฮอร์โมนนั้นๆ
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Stem Cell Transplantation):
ใช้ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด โดยการให้เคมีบำบัดในปริมาณสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง แล้วตามด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่ดีเข้าไปทดแทน
การประคับประคอง (Palliative Care):
เป็นการดูแลเพื่อบรรเทาอาการจากโรคมะเร็งและผลข้างเคียงจากการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดของโรค
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตระหนักถึงความเสี่ยง การดูแลสุขภาพ และการตรวจคัดกรองเป็นประจำ เพื่อให้สามารถป้องกัน หรือตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้อย่างมากครับ