แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 16
1
หมอออนไลน์: คอพอก/ต่อมไทรอยด์โต (Goiter) คอพอกธรรมดา (Simple goiter/Nontoxic goiter)

คอพอก (ต่อมไทรอยด์โต) หมายถึง ภาวะที่ต่อมไทรอยด์* ตรงบริเวณคอหอยเกิดบวมโตผิดปกติ ทำให้คอโป่งเป็นลูกออกมาให้เห็นชัดเจน และสามารถคลำได้เป็นก้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผู้ป่วยทำท่ากลืนน้ำลายก้อนนี้จะขยับขึ้นลงตามจังหวะการกลืน

คอพอกอาจมีลักษณะบวมโตแบบกระจาย (diffuse) หรือเป็นปุ่ม (เป็นปุ่มเดียวหรือหลายปุ่มก็ได้) อาจมีการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์เป็นปกติเรียกว่า คอพอกธรรมดา (simple goiter หรือ nontoxic goiter) สร้างไทรอยด์มากเกินเรียกว่า คอพอกเป็นพิษ หรือสร้างไทรอยด์น้อยเกินเรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์

ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดไม่ร้าย (benign) คือไม่ใช่มะเร็ง มักพบว่ามีลักษณะบวมโตแบบกระจาย หรือเป็นปุ่มหลายปุ่ม (multinodule) เช่น คอพอกที่เกิดจากภาวะขาดไอโอดีน (คอพอกประจำถิ่น) คอพอกเป็นพิษที่มีชื่อว่า โรคเกรฟส์ ต่อมไทรอยด์อักเสบ เป็นต้น

คอพอกที่มีลักษณะเป็นปุ่มหรือก้อนเดี่ยว (solitary thyroid nodule) มักเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้าย เช่น เนื้องอกไทรอยด์ (benign adenoma) ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) แต่บางรายอาจเป็นมะเร็งไทรอยด์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องวินิจฉันแยกโรคโดยการตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy)

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะคอพอกธรรมดา

*ต่อมไทรอยด์ (thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อ (ต่อมเอนโดไครน์) ที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ที่ลำคอด้านหน้า ต่ำกว่าลูกกระเดือกเล็กน้อย มีรูปร่างเหมือนเกือกม้า ประกอบด้วยปีกซ้ายและปีกขวา เชื่อมต่อกันด้วยส่วนที่เรียกว่าคอคอด (isthmus) ปกติจะมีขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อยและมองเห็นไม่ชัดเจน
ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างฮอร์โมน เรียกว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (thyroid hormone) หรือไทร็อกซีน (thyroxine) โดยใช้ไอโอดีนจากอาหารที่เรากินเข้าไปเป็นวัตถุดิบ และมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่เรียกว่า ฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (thyroid stimulating hormone/TSH) เป็นตัวควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์
ฮอร์โมนไทรอยด์มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญ (เมตาบอลิซึม) ของเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย ถ้ามีฮอร์โมนนี้มากเกินไป ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากผิดปกติ เกิดเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือคอพอกเป็นพิษ ตรงกันข้าม ถ้ามีฮอร์โมนนี้น้อยเกินไป ร่างกายก็จะเฉื่อยชาเกิดโรคที่เรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์
ถ้าขาดฮอร์โมนนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้เด็กเจริญเติบโตไม่ดี ตัวเตี้ยแคระ ปัญญาอ่อน เรียกว่า สภาพแคระโง่ (cretinism) หรือเด็กเครติน (cretin)

สาเหตุ

คอพอกธรรมดา บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่ทราบสาเหตุ ได้แก่

    ภาวะขาดธาตุไอโอดีน (ซึ่งมีมากในเกลือทะเลและอาหารทะเล) ภาวะนี้จึงพบมากทางภาคเหนือและภาคอีสานในแถบที่ราบสูงหรือใกล้เขตภูเขา ซึ่งขาดแคลนเกลือทะเลและอาหารทะเล เมื่อร่างกายขาดธาตุไอโอดีนก็เกิดการขาดฮอร์โมนไทรอยด์ตามมา ทำให้ต่อมไทรอยด์ถูกฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (ที่คอยกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงาน) กระตุ้นจนมีขนาดโตขึ้น กลายเป็นคอพอก

ในหมู่บ้านบางแห่ง อาจมีผู้ที่เป็นคอพอกเกือบทั้งหมดหมู่บ้าน จึงเรียกว่า คอพอกประจำถิ่น (endemic goiter)

โดยทั่วไปมักถือว่า ในชุมชนใดมีผู้ที่เป็นคอพอกจากการขาดธาตุไอโอดีนเกิน 10 คนใน 100 คน ก็บอกได้ว่าชุมชนนั้นมีคอพอกประจำถิ่นเกิดขึ้นแล้ว

    การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ด้านฮอร์โมน และเมตาบอลิซึม มักพบในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น หรือกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งร่างกายต้องการฮอร์โมนไทรอยด์ (ไทร็อกซีน) มากขึ้น ต่อมไทรอยด์จึงต้องทำงานมากกว่าธรรมดา ทำให้เกิดเป็นคอพอก เรียกว่า คอพอกสรีระ (physiologic goiter)
    จากผลของยา เช่น พีเอเอส และเอทิโอนาไมด์ (ethionamide) ที่สมัยก่อนเคยใช้รักษาวัณโรค เฟนิลบิวตาโชน ลิเทียม โพรพิลไทโอยูราซิล อะมิโนกลูเททิไมด์ (aminoglutethimide)
    ปุ่มไทรอยด์ (thyroid nodule) อาจเป็นปุ่มเดียวหรือหลายปุ่ม ส่วนใหญ่จะสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้เป็นปกติ ส่วนน้อยที่สร้างไทรอยด์มากเกิน หรือเป็นคอพอกเป็นพิษ บางรายอาจพบว่าเป็นมะเร็ง
    ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) มีลักษณะเป็นถุงหุ้มมีน้ำบรรจุอยู่ภายใน ขนาดอาจเล็กกว่า 1 ซม. หรือโตจนแลดูน่าเกลียด บางรายอาจพบว่าเป็นมะเร็ง
    ต่อมไทรอยด์อักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดเรื้อรังจากภูมิต้านตนเอง (Hashimoto’s thyroiditis) ที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์ปกติ (euthyroid) ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของคอพอกธรรมดาได้

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคอโต (คอพอก) กว่าปกติ โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ไม่อ่อนเพลีย ไม่เหนื่อยง่าย น้ำหนักไม่ลด เป็นต้น แต่ถ้าก้อนโตมาก ๆ อาจทำให้เสียงแหบ กลืนลำบากหรือหายใจลำบากได้


ภาวะแทรกซ้อน

ต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดโตมาก ๆ อาจกดหลอดอาหารทำให้กลืนลำบาก ถ้ากดถูกเส้นประสาทกล่องเสียงก็อาจทำให้เสียงแหบได้

ในรายที่มีต่อมไทรอยด์โตขยายลงไปที่หลังกระดูกลิ้นปี่ (substernal goiter) ก็อาจกดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก หรือถูกท่อเลือดดำส่วนบน (superior vena cava) ทำให้หน้าแดงคล้ำหน้าบวมได้

ถุงน้ำไทรอยด์ อาจมีเลือดออกในถุงน้ำ ทำให้มีอาการเจ็บปวดและก้อนโตกดอวัยวะข้างใต้ทำให้กลืนลำบาก หรือเสียงแหบ

เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีภาวะขาดไอโอดีน อาจเกิดภาวะขาดไทรอยด์ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมอง ทำให้ตัวเตี้ยแคระ หูหนวก เป็นใบ้ และปัญญาอ่อน เรียกว่า สภาพแคระโง่ประจำถิ่น (endemic cretinism) หรือเด็กเครติน (cretin) ซึ่งทางภาคเหนืออันเป็นเขตที่มีความชุกของโรคนี้ นิยมเรียกว่า โรคเอ๋อ (ดูภาวะไทรอยด์เพิ่มเติม)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบต่อมไทรอยด์โตจนคลำได้ชัดเจน

ถ้าเป็นถุงน้ำจะมีลักษณะนุ่มหรือหยุ่น ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือดทดสอบการทำงานของไทรอยด์ (thyroid function test) ได้แก่ ฮอร์โมนไทร็อกซีน และฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) ตรวจเลือดหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไทรอยด์ ตรวจระดับไอโอดีนในปัสสาวะ สแกนต่อมไทรอยด์ (thyroid scan) อัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้เข็มเจาะ (aspiration) ตรวจเซลล์มะเร็ง ตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

สำหรับคอพอกธรรมดา (ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ปกติ) แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

    คอพอกประจำถิ่น (ตรวจพบระดับไอโอดีนในปัสสาวะต่ำ) ให้กินเกลือไอโอดีน (เกลืออนามัย) หรือยาไอโอไดด์ (อาจเป็นชนิดเม็ด หรือชนิดน้ำ เช่น Lugol’s solution) เป็นประจำ

- โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้ลูกที่เกิดมากลายเป็นเด็กเครติน หรือโรคเอ๋อ
- ถ้าคอโตมาก ๆ หรือมีอาการหายใจหรือกลืนลำบาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    คอพอกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งพบในสาววัยรุ่นและหญิงตั้งครรภ์ โดยทั่วไปคอจะโตไม่มาก หรือแทบสังเกตไม่เห็น ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด จะยุบหายได้เอง เมื่อพ้นระยะวัยรุ่นหรือหลังคลอด

- แต่ถ้าคอโตมาก แพทย์จะให้ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ เลโวไทร็อกซีน (levothyroxine) ซึ่งอาจต้องกินนานเป็นปี ๆ ช่วยให้คอยุบได้
- แต่ถ้าคอโตมาก ๆ อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ในรายสงสัยว่าเกิดจากยา ควรหยุดยาที่กินหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นแทนก็จะช่วยให้คอยุบหายไปได้เอง
    ปุ่มไทรอยด์ ถ้าเป็นหลายปุ่มที่ไม่มีภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน หรือปุ่มเดี่ยว แพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy) ถ้าไม่พบว่าเป็นมะเร็ง ก็จะลองติดตามทุก 1-2 เดือน ถ้าก้อนไม่ยุบจะทำการตรวจชิ้นเนื้อซ้ำทุก 2 เดือนอย่างน้อย 3 ครั้ง

ถ้าก้อนไม่ยุบ แพทย์จะให้ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ เลโวไทร็อกซีน (levothyroxine) นาน 6 เดือน ถ้าก้อนยุบลงจะให้ยานานต่อไปประมาณ 2 ปี ถ้าก้อนไม่ยุบก็จะหยุดยา และอาจต้องทำการผ่าตัดถ้าก้อนโตมากหรือมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก

ยานี้ต้องระวังอย่าใช้เกินขนาด อาจทำให้มีอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะเจ็บแน่นหน้าอก อาเจียนท้องเดิน นอนไม่หลับ มือสั่น น้ำหนักลดได้

    ถุงน้ำไทรอยด์ แพทย์จะใช้เข็มเจาะดูดน้ำและนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง ส่วนน้อยที่อาจพบว่าเป็นมะเร็ง ก็ให้การรักษาแบบมะเร็งไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเป็นถุงน้ำชนิดไม่ร้าย ถ้าก้อนมีขนาดเล็กก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าก้อนขนาดใหญ่จะทำการเจาะดูดน้ำออกแล้วติดตามผลทุก 2-4 สัปดาห์ ถ้าก้อนไม่ยุบอาจเจาะซ้ำหลายครั้ง ถ้าไม่ยุบหรือโตขึ้น ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
    ต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากภูมิต้านตนเอง ในระยะที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรติดตามตรวจเลือดเป็นระยะ ถ้าหากพบว่ามีภาวะขาดไทรอยด์ตามมาควรให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (ดูโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคอโต (คอพอก) กว่าปกติ หรือคลำได้ปุ่มหรือก้อนของไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นคอพอกหรือต่อมไทรอยด์โต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด หรือคอโตมากขึ้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. สำหรับคอพอกประจำถิ่นที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน สามารถป้องกันด้วยการกินอาหารทะเลหรือกินเกลือที่ผสมธาตุไอโอดีน (เกลืออนามัย)

2. ในหมู่บ้านที่มีปัญหาคอพอกประจำถิ่น (มีคนที่เป็นคอพอกจากการขาดธาตุไอโอดีนเกิน 10 คนใน 100 คน) ควรมีการรณรงค์ให้ใช้เกลืออนามัยกันทุกครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงที่ตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร และเด็กเล็ก ๆ เพื่อป้องกันมิให้เด็ก ๆ กลายเป็นเด็กเครติน

ข้อแนะนำ

1. ทุกครั้งที่พบผู้ป่วยคอพอก ควรแยกให้ออกว่าเป็นคอพอกธรรมดา หรือคอพอกเป็นพิษ เพราะการรักษาต่างกัน

โดยทั่วไป คอพอกธรรมดาจะไม่มีอาการผิดปกติของร่างกาย (ยกเว้นคอโต) ส่วนคอพอกเป็นพิษ จะมีอาการแสดงได้หลายอย่าง (ดู "ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน/พิษจากไทรอยด์/คอพอกเป็นพิษ”)

2. ผู้ป่วยที่เป็นคอพอกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย (ที่พบในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงวัยรุ่น) มักจะไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และจะยุบหายได้เอง จึงไม่ต้องกังวลใจ

3. หากคอพอกลักษณะเป็นปุ่มแข็งควรส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เนื่องเพราะอาจมีสาเหตุจากมะเร็งไทรอยด์ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นปุ่มเดี่ยว

2
townhouse พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน - คลองหลวง 2 (Pruksa Ville Phaholyothin - Klongluang 2)
เริ่มต้น 1.69 ลบ.

พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน - คลองหลวง 2 (Pruksa Ville Phaholyothin - Klongluang 2)
พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน-คลองหลวง 2 โครงการบ้านทาวน์โฮมจาก พฤกษา เรียลเอสเตท ทาวน์โฮม 2 ชั้นและ โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น กับคอนเซปต์ "EXPLORE YOUR SPACE" พื้นที่ของคนช่างคิด รูปแบบห้องที่คุณเลือกและออกแบบได้ และ "EXPAND YOUR LIFESTYLE" ประสบการณ์ใหม่ของการ ใช้พื้นที่ส่วนกลางพิเศษ พร้อมให้คุณได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างเต็มที่ ทำเลที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานที่สำคัญต่างๆ เดินทางสะดวกทุกการเชื่อมต่อ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ             พฤกษาวิลล์ พหลโยธิน - คลองหลวง 2 (Pruksa Ville Phaholyothin - Klongluang 2)
 เจ้าของโครงการ        พฤกษา เรียลเอสเตท
 แบรนด์ย่อย             พฤกษาวิลล์
 ราคา                    เริ่มต้น 1.69 ลบ.

 ประเภทบ้าน         ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome), โฮมออฟฟิศ
 ลักษณะทำเล       บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ       30 ไร่ 1 งาน 46 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน          372 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน          ตั้งแต่ 16.5 ถึง 18.1 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย        ตั้งแต่ 103 ถึง 116 ตร.ม.
 จำนวนชั้น          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน   ตั้งแต่ 2 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ   ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค       สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (ห้องโยคะ, JACUZZI, WORKING SHARING, LIBRARY LOUNGE, Golf putter), สนามเด็กเล่น

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง          ตำบล คลองสอง อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี 12120

 ขนส่งสาธารณะ               ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนคลองหลวง, ถนนพหลโยธิน, ถนนรังสิต-นครนายก, ถนนคลอง 2)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า
Future Park รังสิต
ตลาดไท
ตลาดไอยรา


สถานศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศคลองหลวง
โรงเรียนสวนกุหลาบ
โรงเรียนนานาชาติสยาม
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยรังสิต


สถานพยาบาล
โรงพยาบาลบางปะกอก รังสิต
โรงพยาบาลเปาโล
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์


สถานที่สำคัญอื่นๆ
นิคมนวนคร
นิคมบางปะอิน
นิคมโรจนะ
นิคมไฮเทค วังน้อย

3
จัดฟันบางนา: อายุมีผลต่อการเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือไม่

สุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเราจะต้องใช้งานฟันของเราเพื่อรับประทานอาหารหรือใช้ชีวิตประจำวันไปจนแก่จนเฒ่า ดังนั้น การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเรา เราจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เราจะต้องเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันเป็นประจำทุกๆ 6  เดือน เพื่อที่จะได้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาเพื่อที่จะได้รับการแก้ไขอย่างทันเวลา เมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้น สุขภาพช่องปากและฟันของเราก็จะเริ่มเสื่อมถอยลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามอายุ เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ การเสื่อมถอยลงตามวัย ของร่างกายไม่ใช่โรค หากแต่เป็นสัญญาณเตือน ให้ผู้สูงอายุซึ่งมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น จากการทำงานประจำ ได้หันมาให้ความสนใจ ดูแลเอาใจใส่ สุขภาพร่างกายของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งสุขภาพปากและฟัน ก็ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากเป็นอวัยวะที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการทะนุบำรุง ซ่อมแซมร่างกาย เพื่อที่จะได้มีสุขภาพร่างกาย แข็งแรง สำหรับคนที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น หลายคนก็ยังใส่ใจในเรื่องของความสวยความงามอยู่ ดังนั้น การจัดฟันถือว่า เป็นการช่วยทำให้เรามีฟันที่สวยงามและยังช่วยทำให้มีรอยยิ้มที่มั่นใจด้วย สำหรับการจัดฟันที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันนี้ แน่นอนว่า จะเป็นการจัดฟันแบบใส เพราะเนื่องจากการจัดฟันแบบใส สามารถตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้รับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม


หลายคนสงสัยว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น เมื่อเรามีอายุมากขึ้น จะสามารถเข้ารับการจัดฟันได้หรือไม่ แน่นอนว่า อาจจะมีความกังวลอยู่บ้าง สำหรับคนที่สนใจ แต่เราต้องบอกว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของอายุ ดังนั้น ไม่ว่าผู้เข้ารับการจัดฟันจะมีอายุเท่าไหร่ ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้ เพราะการจัดฟันแบบใส สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีไม่ขึ้นอยู่กับอายุเลย


นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน ได้รับประทานอาหารอย่างเต็มที่ และสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่มีอุปสรรคในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันเลย แถมเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังสามารถถอดออกได้อีกด้วย และเครื่องมือก็มีความกระชับ พอดีกับช่องปากของผู้เข้ารับการจัดฟัน เพราะทันตแพทย์จะมีการออกแบบเครื่องมือการจัดฟันเฉพาะบุคคล จึงทำให้สวมใส่เครื่องมือ สบาย ไม่มีปัญหาในเรื่องของการพูดหรือการออกเสียง สำหรับในเรื่องของระยะเวลาในการจัดฟันแบบใสนั้น


ระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหาของแต่ละบุคคล ไม่แตกต่างจากการจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น ยิ่งคนที่มีปัญหาในเรื่องของฟันที่ค่อนข้างซับซ้อนหรือแก้ไขได้ยาก ระยะเวลาการจัดฟันก็จะนานขึ้น กว่าคนที่มีปัญหาในเรื่องของฟันน้อยกว่า นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันด้วย เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส จะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 22 ชั่วโมง ดังนั้น ในเรื่องระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน ยังส่งผลต่อการรักษาด้วย เพราะหากเราละเลยในการสวมใส่เครื่องมือ ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาคลาดเคลื่อนได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ภายหลังจากได้รับเครื่องมือการจัดฟันเรียบร้อยแล้ว หรืออยู่ในช่วงของการจัดฟัน เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้ทราบถึงผลการรักษาและคอยปรับเปลี่ยนเครื่องมือการจัดฟันในชุดต่อไปได้

หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันแบบใส และมีประสบการณ์การอย่างยาวนานในด้านทันตกรรม พร้อมทั้งยังได้การรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการทางด้านการจัดฟันแบบใสได้ตามมาตรฐานสากล และยังมีความน่าเชื่อถือ จึงมั่นใจได้ว่า ผู้เข้ารับการจัดฟันจากทางคลินิกของเราจะมีความปลอดภัยและผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น

4
motor show 2025: ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Softail Street Bob 114 ปี 2024
962,000 บาท

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Softail Street Bob 114 ปี 2024
Harley-Davidson Softail Street Bob 1114 รถมอเตอไซค์สไตล์ Blacked-Out แบบใหม่ทั้งหมด ด้วยสมารรถนะความแรง และความแข็งแกร่ง น้ำหนักรถเบาลง 5 กก. มาพร้อมซี่ลวดกับท้ายตัดสั้น และหน้าปัดดิจิตอลที่ซ่อนเอาไวอย่างแนบเนียน แฮนด์บาร์แบบ Mini-ape ตำแหน่งวางเท้าแบบ Mid-mount Controls ใช้เเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 114

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์          Harley-Davidson
   รุ่น               ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Softail Street Bob 114 ปี 2024
   ประเภทรถ      รถครูสเซอร์-ชอปเปอร์, Cruiser Bigbike
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา            962,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์         เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์           6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์   Milwaukee-Eight 114
   ระบบระบายความร้อน     อากาศ
   ระบบสตาร์ท              สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      1868 CC
   แบบเครื่องยนต์               4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง        แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีด (ระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์แบบต่อเนื่อง (ESPFI))
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        13.2 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน               ล้อหน้า โช้คเทเลสโคปิคที่มีวาล์วแบบ Dual Bending ขนาด 49 มม. พร้อมแคลมป์รัดโช้คแบบอลูมิเนียมสามอัน; สปริงแบบสองค่าในตัว; ยางหุ้มโช้ค, ล้อหลัง ลูกสูบแบบซ่อนทำงานอิสระ โช้คเดี่ยวพร้อมสปริง ระยะชัก 43 มม. และปรับพรีโหลดแบบ Cam-style
   ระบบเบรค                      ล้อหน้า ดิสก์เบรก (จานเบรกดันแบบขยายตัวสม่ำเสมอ), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (จานเบรกดันแบบขยายตัวสม่ำเสมอ)
   แบบวงล้อ                       aluminum
   ขนาดยาง                        ล้อหน้า 100/90B19,57H,BW, ล้อหลัง 150/80B16,77H,BW
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)        2,320 x - x 680 มม.
   น้ำหนักตัวรถ                          297.00 กก.

5
เที่ยววัด สวยใกล้กรุงเทพฯ พิกัดทำบุญอุ่นใจ วันเดียวก็เที่ยวได้

วันหยุดทั้งที ชวนครอบครัวไปเสริมบุญ กับวัดสวยใกล้กรุงเทพฯ จัดทริปไหว้พระ 9 วัดยังได้ ไปเช้า-เย็นกลับสบาย อิ่มทั้งบุญ เพลินทั้งตาและใจ เที่ยวได้ทุกเพศทุกวัย

ช่วงวันหยุดยาวหลายครอบครัวก็หาสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถไปเที่ยวกันได้ การไปเที่ยววัดไหว้พระทำบุญก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี เราจึงได้รวบรวมวัดสวย ๆ ใกล้กรุงเทพฯ มาฝากกัน สามารถจัดทริปไหว้พระไปเช้า-เย็นกลับได้ชิล ๆ มีวัดอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกัน


1. วัดโฝวกวงซัน กรุงเทพฯ

          วัดสวยย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ มีชื่อเต็มว่า สถาบันพุทธศาสนา เถรวาท-มหายาน โฝวกวงซัน เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่มีต้นกำเนิดจากเมืองเกาสง ไต้หวัน โดยวัดที่อยู่ในไทยนี้ก็มีสถาปัตยกรรมแบบจีนที่สวยงามและสมบูรณ์แบบเหมือนกับที่ไต้หวัน มีทั้งวิหารพระอวโลกิเตศวร, พระอุโบสถ, เจดีย์พุทธรังษี, ห้องเรียนพุทธศาสนา, หอพระไตรปิฎก, หอระฆัง, หอกลอง และอื่น ๆ อีกมากมาย

    ที่ตั้ง : 55 ถนนคู้บอน แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.

2. วัดบางไผ่ พระอารามหลวง จังหวัดนนทบุรี

          วัดสำคัญอีกแห่งของอำเภอบางบัวทอง สร้างขึ้นปี พ.ศ. 2309 ช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีพระพุทธรูปศิลปะสมัยกรุงสุโขทัยและพระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทองอยู่ด้วย รวมถึงอาคารต่าง ๆ ที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม เช่น หอพระไตรปิฎกกลางน้ำทรงจตุรมุข, อาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรม อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงไทย หลังคามุงกระเบื้อง คล้ายกับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง, อาคารทีปังกรรัศมีโชติ และหอฉันแบบเรือนไทยภาคกลาง เป็นต้น

วัดสวย ใกล้กรุงเทพฯ

    ที่ตั้ง : ตำบลบางรักใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดบางไผ่พระอารามหลวง (สำนักปฏิบัิติธรรม)


3. วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จังหวัดนนทบุรี

          วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันมีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร มีสถาปัตยกรรมในวัดที่น่าสนใจ คือ พระอุโบสถ ผสมผสานระหว่างศิลปะไทย-จีน ได้อย่างสวยงาม หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสี สลับลวดลายใบดอกพุดตาน กระจังฐานพระ ช่อฟ้าใบระกา ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีสลับลายจากประเทศจีน สีขาวบริสุทธิ์ทั้งหลัง

วัดสวย ใกล้กรุงเทพฯ

    ที่ตั้ง : ซอยวัดเฉลิมพระเกียรติ ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 06.00-18.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร


4. วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี

          วัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันเป็นวัดที่ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธา และยังมีสถานที่ปฏิบัติธรรมไว้รองรับ โดยมีอาคารที่สวยงามน่าสนใจ คือ พระอุโบสถแก้ว ซึ่งสร้างให้ผนังเป็นกระจกรอบทั่วทั้งหลัง รูปทรงแปดเหลี่ยม ด้านในประดิษฐานหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ และศาลาเรือนไทย ที่สร้างจากไม้สักแกะสลักทั้งหลัง ศิลปะไทยดั้งเดิม หาชมได้ยากมาก

    ที่ตั้ง : 100/1 ซอยบางศรีเมือง 1 ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.
    เฟซบุ๊ก : ประชาสัมพันธ์ วัดสังฆทาน


5. วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) จังหวัดนนทบุรี

          วัดมหายานในความอุปถัมภ์ของคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย มีเนื้อที่ราว ๆ 12 ไร่ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ซึ่งสถาปัตยกรรมต่าง ๆ นั้นได้สร้างตามศิลปะในช่วงราชวงศ์หมิง-ชิง จึงทำให้วัดแห่งนี้สวยงามโอ่อ่าราวกับพระราชวังเก่าแก่ในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน

    ที่ตั้ง : 959 หมู่ 4 ถนนเทศบาล 9 ตำบลโสนลอย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2)


6. วัดเจริญราษฎร์บำรุง (วัดหนองพงนก) จังหวัดนครปฐม

          วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และได้มีการบูรณะพัฒนาเรื่อยมาจนตอนนี้กลายเป็นวัดที่สวยที่สุดอันดับต้น ๆ ของนครปฐม อาคารต่าง ๆ มีสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งงดงามตามแบบศิลปะไทย โดยเน้นที่สีขาว-ทอง มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด สิ่งสำคัญ เช่น หลวงพ่อมงคลนิมิต พระพุทธรูปศิลาแกะสลักปางมารวิชัย, สมเด็จองค์ปฐมปางมหาจักรพรรดิ และอุทยานสมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น

    ที่ตั้ง : เลขที่ 1 หมู่ 12 ตำบลสระพัฒนา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดเจริญราษฎร์บำรุง วัดหนองพงนก


7. วัดป่าปฐมชัย จังหวัดนครปฐม

          วัดสวยอีกแห่ง ที่มีบรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น รายล้อมไปด้วยต้นไม้และสวนสวยบนพื้นที่ราว ๆ 17 ไร่ สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ บริเวณพระอุโบสถ มีสถาปัตยกรรมตามแบบศิลปะล้านนา สร้างด้วยไม้และปูน อ่อนช้อยงดงาม นอกจากนี้ยังมีลานธรรมจักร และหอพระแก้ว 3 ฤดู ให้ได้เยี่ยมชมด้วย

    ที่ตั้ง : ตำบลหนองปากโลง อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดป่าปฐมชัย


8. วัดประชาราษฎร์บำรุง (วัดรางหมัน) จังหวัดนครปฐม

          วัดเก่าแก่มีอายุราว ๆ 80 ปี ภายหลังมีชื่อเสียงด้วยมีหลวงปู่แผ้ว ปวโร พระเกจิที่ชาวบ้านให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้พัฒนาวัดให้มีความก้าวหน้า สิ่งที่โดดเด่นภายในวัด ก็คือ วิหารอายุยืน มีสถาปัตยกรรมแบบพุทธศิลป์ ตกแต่งด้วยปูนปั้นลวดลายอ่อนช้อยวิจิตรตระการตา สีขาวบริสุทธิ์งดงาม ด้านในประดิษฐานหลวงปู่ดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์

    ที่ตั้ง : หมู่ 5 ตำบลรางพิกุล อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-16.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดรางหมัน หลวงปู่แผ้ว ปวโร


9. วัดพระศรีอารย์ จังหวัดราชบุรี

          วัดสำคัญแห่งเมืองโพธาราม มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวชมมากมาย เนื่องจากอยากเห็นพระอุโบสถสีทองอร่ามตาทั้งหลัง เป็นพระอุโบสถที่มีศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นสีทองอ่อนช้อย ด้านในมีพระประธานปางมารวิชัย ศิลปะแบบพม่า สร้างจากหยกขาว งดงามน่าศรัทธา

    ที่ตั้ง : ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.


10. วัดถ้ำพุหว้า จังหวัดกาญจนบุรี

          วัดป่าที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ แต่เดิมนั้นมีถ้ำเป็นอุโบสถ แต่ในภายหลังได้บูรณะโดยการสร้างปราสาทหินทรายครอบหน้าถ้ำไว้ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะขอมโบราณประยุกต์ สีชมพู-น้ำตาลสวยงามแปลกตา เหมือนกับยกปราสาทโบราณมาไว้เลยทีเดียว

    ที่ตั้ง : ตำบลหนองหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.

11. วัดทิพย์สุคนธาราม จังหวัดกาญจนบุรี

          สถานที่ประดิษฐานพระพุทธมหาเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ พระพุทธรูปปางคันธารราฐที่สร้างด้วยโลหะสำริด มีความสูงมากถึง 32 เมตร อยู่บนฐานสูง 8 เมตร มีฉากหลังเป็นภูเขาขนาดใหญ่ และรายล้อมด้วยพุทธอุทยาน สวนที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์สวยโดดเด่น แบ่งสัดส่วนตามรูปแบบเรขาคณิต มองจากมุมสูงแล้วคล้ายกับสวนสวย ๆ ในต่างประเทศ

    ที่ตั้ง : หมู่ 13 ตําบลดอนแสลบ อําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-19.00 น.


12. วัดปัญญานันทาราม จังหวัดปทุมธานี

          วัดสำคัญอีกแห่งของจังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่ในย่านคลองหก ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก โดยมีชื่อเสียงจากการที่มีหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือพระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปทุมุตฺตโร) พระสงฆ์นักปฏิบัติ เคยเป็นเจ้าอาวาส ภายในวัดบรรยากาศเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น ปัจจุบันมีสิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ พุทธคยาจำลอง (พุทธมหาเจดีย์)

    ที่ตั้ง : เลขที่ 1 หมู่ 10 ซอยวัดปัญญา ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดปัญญานันทาราม - สถานที่ที่ทำให้เกิดปัญญา


13. วัดป่าสว่างบุญ จังหวัดสระบุรี

          วัดสวยอีกแห่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม มีทั้งเขาและป่าอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ มีเจดีย์องค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วรายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็ก รวมแล้วมีมากถึง 500 เจดีย์ เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม เคลือบด้วยสีทองอร่ามตา

    ที่ตั้ง : 6/2 ซอยคลองไผ่ ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.
    เฟซบุ๊ก : วัดป่าสว่างบุญ


14. วัดปากน้ำโจ้โล้ จังหวัดฉะเชิงเทรา

          สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยในอดีตพื้นที่ของวัดเคยเป็นที่ตั้งของทัพพม่าในการต่อสู้กับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปัจจุบันเป็นวัดที่ได้รับความนิยมจากพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เพราะมีพระอุโบสถสีทองสวยสง่าทั้งหลัง ทั้งภายในและภายนอก ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นงดงาม

    ที่ตั้ง : ถนนวนะภูติ ตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
    เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น.


6
motor show: Acura แบรนด์หรูจาก Honda เริ่มส่งมอบ ZDX เอสยูวีไฟฟ้ารุ่นแรกแล้วในสหรัฐฯ

2024 Acura ZDX เอสยูวีขุมพลังไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ เปิดให้จองแล้วเมื่อต้นปีนี้ ตอนนี้ถึงเวลาสำหรับการส่งมอบแล้ว สำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ โดยพร้อมส่งมอบทั้ง 2 รุ่นย่อย ได้แก่ ZDX และ ZDX Type S

 ราคา 2024 Acura ZDX ในสหรัฐฯ
2024 Acura ZDX เริ่มที่ 64,500 ดอลล่าร์หรือ 2.37 ล้านบาท
2024 Acura ZDX Type S เริ่มที่ 73,500 ดอลล่าร์หรือ 2.7 ล้านบาท
 โดยราคาของรถทั้งสองรุ่นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ 7,500 ดอลล่าร์แล้ว

 ดีไซน์แบบ "อัญมณี"

 ดีไซน์ของ Acura ZDX ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Acura Precision EV concept รถต้นแบบที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ กระจังหน้าทรงห้าเหลี่ยม Diamond Pentagon grille ที่ดูเพรียวบาง พร้อมลวดลายเพชรแบบนูน 3 มิติ ไฟหน้า LED แบบ Jewel Eye ที่มีไฟเดย์ไลท์อันเป็นเอกลักษณ์ด้านล่างของโคม

 สำหรับสีภายนอก รถคันสีฟ้าที่เราเห็นกับอยู่นี้จะใช้สีที่ชื่อว่า Double Apex Blue Pearl ที่นำมาจากรถต้นแบบ และมีอีกสีคือ Tiger Eye Pearl สีเหลืองโทนพิเศษสำหรับรุ่น Type S โดยเฉพาะ

  มิติตัวถัง Acura ZDX

 ความยาว 5,021 มม.
ความกว้าง 1,955 มม.
ความสูง 1,635 มม.
ระยะฐานล้อ 3,093 มม.

 พบว่า ด้วยความที่รถคันนี้ใช้แพลทฟอร์มอีวีโดยเฉพาะ ทำให้เราสามารถขยายฐานล้อได้ยาวขึ้น เมื่อเทียบกับแพลทฟอร์มรถน้ำมันทั่วไป และยังทำให้พื้นห้องโดยสารเรียบ ส่งผลให้พื้นที่ห้องโดยสารกว้างกว่า เมื่อเทียบกับรถน้ำมันเซกเมนต์เดียวกัน

 ภายในแบบเรียบง่าย แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

 สำหรับภายในมาพร้อมมาตรวัดดิจิทัลขนาด 11 นิ้ว และจอ infotainment แบบสัมผัสขนาด 11.3 นิ้ว ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการจาก Google ซึ่งจะรองรับฟีเจอร์พิเศษสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ เช่น ระบบปรับอุณหภูมิแบตเตอรี่ก่อนจะไปถึงที่ชาร์จ DC โดยทำงานร่วมกับ Google Maps รวมถึงรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และ ZDX ยังเป็น Acura รุ่นแรกที่มาพร้อมระบบเสียง Bang & Olufsen ลำโพง 18 ตำแหน่ง อีกด้วย

 นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัยยังมีให้อย่างครบครัน ได้แก่

 AcuraWatch เช่น ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติหน้า-หลัง, Blind Spot Monitoring พร้อมระบบช่วยบังคับพวงมาลัย และระบบช่วยเตือนคนเดินถนนเมื่อถอยหลัง
AcuraWatch 360+ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ที่มีความสามารถพอ ๆ กับ AutoPilot ของ Tesla หรือ Super Cruise ของ GM เลยก็ว่าได้ แต่จะมีในรุ่น Type S เท่านั้น จุดเด่นอยู่ที่ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ที่มีเป็นครั้งแรกในแบรนด์

  Acura ZDX รุ่นธรรมดาก็พลังเหลือเฟือ

 Acura ZDX มีขุมพลังให้เลือกหลากหลาย เริ่มด้วยรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง (ราคาเริ่ม 64,500 ดอลล่าร์หรือ 2.37 ล้านบาท) ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 358 แรงม้า แรงบิด 439 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ไกลสุด 503 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

 และยังมีรุ่น dual-motor ขับเคลื่อน 4 ล้อ (ราคาเริ่มที่ 68,500 ดอลล่าร์หรือราว 2.52 ล้านบาท) ให้กำลังสูงสุด 490 แรงม้า แรงบิด 592 นิวตันเมตร สามารถขับได้ไกลสุด 489 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

 Acura ZDX Type S สำหรับสายซิ่ง

สำหรับ ZDX Type S (ราคาเริ่ม 73,500 ดอลล่าร์หรือ 2.7 ล้านบาท) จะมาพร้อมขุมพลังที่เหนือกว่า โดยมีเฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ dual motor พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น โดยให้กำลังสูงสุด 499 แรงม้า แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือแรงบิดอันมหาศาลที่ 737 นิวตันเมตร แต่ต้องแลกมาด้วยระยะทางขับขี่สูงสุดที่ 447 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเท่านั้น

 ความพิเศษของรุ่น Type S ได้แก่ ช่วงล่างถุงลมแบบ Adaptive พร้อมแดมเปอร์แบบ Adaptive เช่นกัน, เบรค Brembo 6 พอต พร้อมคาลิปเปอร์สีเหลืองที่ด้านหน้า และล้ออัลลอยลายพิเศษ

 แพลทฟอร์มที่ร่วมมือกับ GM ใช้ร่วมกับ Honda Prologue

 Acura ZDX ทุกรุ่นย่อยอยู่ภายใต้พื้นฐานแพลทฟอร์ม GM Ultium platform ที่ร่วมมือกับ General Motors ประกอบด้วยแบตเตอรี่ขนาด 102 kWh รองรับการชาร์จ DC สูงสุด 190 kW ซึ่งสามารถเพิ่มระยะทางขับขี่ได้ถึง 130 กม. โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น

 ใช้การซื้อแบบยุคใหม่

 เราสามารถซื้อ Acura ZDX ได้โดยผ่านบริการระบบการขายดิจิทัลใหม่เท่านั้น ซึ่งต่างจากการซื้อรถ Acura ที่ผ่านมา โดยลูกค้าสามารถเลือกออพชั่นของรถผ่านทางออนไลน์และจะได้ช่วงเวลารับส่งมอบรถได้เลย

 นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถซื้อ Acura ZDX ได้ผ่านแอพ Acura EV ซึ่งเราสามารถติดตามการส่งมอบและใช้บริการ Acura Concierge ผ่านทางแชท อีเมล หรือการโทรได้เลยเช่นกัน

 มีทางเลือกการชาร์จที่หลากหลาย

 Acura ZDX สามารถรองรับการชาร์จที่หลากหลาย โดยมาพร้อมกับพอร์ทชาร์จ CCS แต่ก็มีตัวแปลงเป็นพอร์ท NACS เพื่อสามารถชาร์จกับเครื่อง Tesla Supercharger ได้ รวมถึง Acura นั้นเป็นแบรนด์ลูกของ Honda ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสถานีชาร์จของ Ionna ที่ถือว่าครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือ

 นอกจากนี้ ลูกค้าของ ZDX สามารถเลือกของแถมเป็นแพ็คเกจการชาร์จได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Wall Box เครื่องชาร์จที่บ้าน, เครดิตการชาร์จ หรือ เครดิตการติดตั้ง

 อยากให้มีรถ EV จาก Honda มาขายไทยบ้าง

 ถึงแม้ 2024 Acura ZDX ในเบื้องต้นจะมีจำหน่ายเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ทำให้เราแน่ใจว่าค่ายรถญี่ปุ่นอย่าง Honda ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแต่อย่างใด

 แต่สำหรับในบ้านเรา ที่ทางฮอนด้า ประเทศไทยนำ Honda e:N1 มาทำตลาดด้วยการเช่านั้น อาจเป็นการ “ลองเชิง” พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยก่อนก็เป็นได้

 

7
บริการทำความสะอาด ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมีเวลาน้อยลง การทำกิจกรรมต่างๆ ภายในบ้านก็อาจเป็นเรื่องยากและเสียเวลา ดังนั้น การเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาดจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทรับทำความสะอาดคือธุรกิจที่ให้บริการทำความสะอาดบ้าน อาคาร สำนักงาน โรงงาน ฯลฯ โดยบริษัทเหล่านี้จะมีพนักงานทำความสะอาดที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และใช้อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีคุณภาพ

ประโยชน์ของการเลือกใช้บริการกับบริษัทรับทำความสะอาด

การทำความสะอาดบ้านหรือสถานที่ทำงานเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและแรงงานพอสมควร บางครั้งเราอาจไม่มีเวลาหรือความสะดวกที่จะทำเอง การเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยให้เราประหยัดเวลาและแรงงาน ซึ่งการเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาดมีข้อดีหลายประการ ดังนี้

ประหยัดเวลาและแรงงาน : พนักงานทำความสะอาดของบริษัทรับทำความสะอาดได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถทำความสะอาดบ้านหรือสถานที่ทำงานของคุณได้อย่างมืออาชีพและรวดเร็ว ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและแรงงานเพื่อนำไปใช้ในการทำสิ่งอื่น ๆ

สะอาดและปลอดภัย : บริษัทรับทำความสะอาดใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่และวัสดุของคุณ พวกเขายังปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด จึงมั่นใจได้ว่าบ้านหรือสถานที่ทำงานของคุณจะสะอาดและปลอดภัย

ประเภทของบริการทำความสะอาด

การทำความสะอาดแบบประจำ : การทำความสะอาดแบบประจำเป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยบริษัทจะส่งพนักงานมาทำความสะอาดสถานที่เป็นประจำตามช่วงเวลาที่กำหนด เช่น สัปดาห์ละครั้ง สองสัปดาห์ครั้ง หรือเดือนละครั้ง บริการนี้เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ที่พักอาศัย สำนักงาน โรงพยาบาล โรงงาน เป็นต้น

การทำความสะอาดเป็นครั้งคราว : การทำความสะอาดเป็นครั้งคราวเป็นบริการที่เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการทำความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น ทำความสะอาดหลังงานก่อสร้างหรือหลังการตกแต่ง ทำความสะอาดหลังงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ เป็นต้น บริการนี้เหมาะสำหรับสถานที่ที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้การทำความสะอาดเป็นประจำ

บริการทำความสะอาดเฉพาะจุด : บริการทำความสะอาดเฉพาะจุดเป็นบริการที่เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการทำความสะอาดเฉพาะจุด เช่น ทำความสะอาดกระจก ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น บริการนี้เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการทำความสะอาดเฉพาะจุดเท่านั้น นอกจากนี้ บริษัทรับทำความสะอาดยังมีบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น บริการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค บริการทำความสะอาดหลังน้ำท่วม บริการทำความสะอาดหลังเพลิงไหม้ เป็นต้น

เทคนิคในการเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาด

การทำความสะอาดบ้านหรือสำนักงานเป็นประจำเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อสุขอนามัยที่ดีและสภาพแวดล้อมที่สะอาดน่าอยู่ แต่สำหรับใครที่มีเวลาไม่มากหรือต้องการความสะดวกรวดเร็ว การเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาดอาจตอบโจทย์มากกว่า การเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาดนั้นควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เพื่อให้ได้บริการที่มีคุณภาพและคุ้มค่าที่สุด

ขอคำแนะนำหรือรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการ : การขอคำแนะนำหรืออ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการมาก่อน ถือเป็นวิธีที่ดีในการประกอบการตัดสินใจ จะช่วยให้ทราบถึงคุณภาพของการให้บริการ ความพึงพอใจของลูกค้า และข้อดีข้อเสียของบริษัทนั้นๆ

ตรวจสอบข้อมูลของบริษัท : ควรตรวจสอบข้อมูลของบริษัทให้ละเอียดก่อนตัดสินใจใช้บริการ ตรวจสอบว่ามีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหรือไม่ มีประวัติการทำงานเป็นอย่างไร มีพนักงานและอุปกรณ์ทำความสะอาดเพียงพอหรือไม่

สอบถามรายละเอียดการให้บริการ : ควรสอบถามรายละเอียดการให้บริการให้ชัดเจน ว่าครอบคลุมพื้นที่และรายการทำความสะอาดใดบ้าง ระยะเวลาในการทำความสะอาด ค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขการรับประกัน

ขอดูตัวอย่างผลงาน : หากเป็นไปได้ ควรขอดูตัวอย่างผลงานของบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจ

ข้อควรระวังในการใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาด

ควรทำความเข้าใจกับรายการทำความสะอาด : ควรทำความเข้าใจกับรายการทำความสะอาดที่บริษัทให้บริการอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับความต้องการของคุณ หากมีความต้องการเพิ่มเติม ควรแจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้า

ตรวจสอบความเรียบร้อยหลังการทำความสะอาด : ควรตรวจสอบความเรียบร้อยหลังการทำความสะอาดทุกครั้ง หากพบปัญหาควรแจ้งให้บริษัททราบเพื่อแก้ไข

ควรเก็บเอกสารหลักฐานการใช้บริการ : ควรเก็บเอกสารหลักฐานการใช้บริการ เช่น ใบเสนอราคา สัญญาจ้างงาน ใบเสร็จรับเงิน ไว้เป็นหลักฐาน หากเกิดปัญหาในอนาคต

การเลือกใช้บริการบริษัทรับทำความสะอาดเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดเวลาและแรงงานในการทำความสะอาดบ้านหรือสำนักงาน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้บริษัทที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของเราด้วย

8
สุขภาพดี: การปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่านวิดีโอคอล เทคโนโลยีสุขภาพยุคใหม่ที่เข้าถึงง่าย

การปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่านวิดีโอคอลกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นทางเลือกที่สะดวก รวดเร็วและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ที่ต้องการปรึกษาปัญหาสุขภาพเบื้องต้น โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ภาพรวมของการดูแลสุขภาพกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยนำเสนอโซลูชันนวัตกรรมเพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์

ความก้าวหน้าที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือความสามารถในการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพทางออนไลน์ โดยเฉพาะผ่านวิดีโอคอล วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องไปที่คลินิกหรือโรงพยาบาลด้วยตนเอง

ข้อดีของการปรึกษาแพทย์ออนไลน์
สะดวกสบาย: ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล สามารถปรึกษาได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต
รวดเร็ว: ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ทันที ไม่ต้องรอคิว
ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ: ลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อโรคจากผู้ป่วยรายอื่น
ประหยัดค่าใช้จ่าย: บางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
เข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ง่ายขึ้น

การเพิ่มขึ้นของการแพทย์ทางไกล
การแพทย์ทางไกลได้รับความนิยมอย่างมากเนื่องจากสะดวกและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันผู้ป่วยสามารถนัดหมายกับแพทย์ได้จากที่บ้าน ซึ่งช่วยลดเวลาเดินทางและเวลาในการรอคอยที่มักเกิดขึ้นกับสถานพยาบาลแบบดั้งเดิมได้อย่างมาก ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ผู้ป่วยสามารถติดต่อกับผู้ให้บริการด้านการแพทย์ที่มีคุณสมบัติ ทำให้คำแนะนำทางการแพทย์เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย

ประโยชน์ของการปรึกษาออนไลน์
ความสะดวกและการเข้าถึง : การปรึกษาออนไลน์ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถขอคำแนะนำทางการแพทย์ได้ตามสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว

ประหยัดเวลา : การโทรวิดีโอช่วยลดความจำเป็นในการเดินทาง ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาทางการแพทย์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในแต่ละวันมากเกินไป

ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย : เนื่องจากความกังวลเรื่องสุขภาพทั่วโลก การปรึกษาออนไลน์จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับโรคติดต่อในห้องรอที่มีผู้คนหนาแน่น

คำแนะนำทันที : สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงหรือต้องการคำชี้แจงเกี่ยวกับสุขภาพ การปรึกษาออนไลน์จะช่วยให้เข้าถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้ทันที ทำให้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลต่อไปได้ทันท่วงที

มันทำงานอย่างไร
การนัดหมาย : ผู้ป่วยสามารถนัดหมายผ่านแพลตฟอร์มเทเลเมดิซีนหรือเว็บไซต์ของผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพต่างๆ

การเตรียมตัวสำหรับการปรึกษา : ก่อนการสนทนาทางวิดีโอ ผู้ป่วยควรเตรียมรายการอาการ ประวัติการรักษา และยาที่รับประทานอยู่ การเตรียมตัวนี้จะช่วยให้การปรึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล

การปรึกษาทางวิดีโอคอล : ในระหว่างการสนทนา ผู้ป่วยสามารถอธิบายอาการและความกังวลของตนเองได้ จากนั้นแพทย์จะประเมินสถานการณ์ วินิจฉัยเบื้องต้น แนะนำการรักษา หรือแนะนำการทดสอบเพิ่มเติมหากจำเป็น

การดูแลติดตาม : หลังจากการปรึกษา ผู้ป่วยอาจได้รับใบสั่งยาทางอิเล็กทรอนิกส์หรือได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตหรือการนัดหมายเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง

ข้อควรพิจารณาสำหรับการให้คำปรึกษาออนไลน์
แม้ว่าการปรึกษาทางออนไลน์จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับสถานการณ์ทางการแพทย์ทั้งหมด ภาวะฉุกเฉิน อาการรุนแรง หรือปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนอาจต้องได้รับการประเมินแบบพบหน้า ผู้ป่วยควรคำนึงถึงอาการของตนเองและไปพบแพทย์ทันทีเมื่อจำเป็น

การผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาทางออนไลน์ ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ป่วยดูแลสุขภาพของตนเอง การแพทย์ทางไกลช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้โดยให้เข้าถึงคำแนะนำทางการแพทย์ได้ทันทีผ่านวิดีโอคอล ทำให้สามารถจัดการกับอาการต่างๆ ได้ง่ายขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลนี้ บทบาทของการแพทย์ทางไกลจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย โดยนำเสนอโซลูชันที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้นสำหรับการดูแลผู้ป่วย

9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



10
รถแลกเงิน: "Freelance" อยากซื้อรถ...ต้องทำยังไง?

นอกจาก Freelance จะห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอแล้ว ยังห้ามกู้ซื้อรถด้วยมั้ย? (กำลังอินเทรนด์ 555) คำตอบคือ "ไม่ห้าม" ค่ะ เพื่อนๆ ที่ทำงานเป็น Freelance สามารถขอกู้ซื้อรถได้นะคะ แต่เอ๊ะ!! ในเมื่อการขอกู้สินเชื่อจากธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ ทำบัตรเครดิต หรือแม้แต่การขอสินเชื่อเงินสด หลักเกณฑ์หลักๆ ที่ทุกธนาคารกำหนดไว้ก็คือ ต้องเป็นบุคคลที่มีอาชีพประจำ และมีรายได้สม่ำเสมอทุกเดือน โดยจะดูจากการเคลื่อนไหวบัญชีธนาคาร (Statement) แล้วแบบนี้คนที่ทำอาชีพ Freelance ที่มีเงินเดือนไม่แน่นอน แถมบางคนอาจจะไม่มีเงินเข้าบัญชีทุกเดือน เหมือนข้าราชการหรือพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป จะต้องทำยังไง? ถึงจะขอกู้ได้อย่างที่ตอบมาข้างต้น!!! วันนี้เราเลยขอเอาบทความนี้มาฝากเพื่อนๆ ที่เป็น Freelance เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนขอกู้ซื้อรถกันนะคะ (รับรองได้ว่า ถ้าทำได้ ต้องผ่านแน่นอนค่ะ)


"ฟรีแลนซ์" อยากซื้อรถ...ต้องทำยังไง? (เตรียมให้พร้อมก่อนกู้เงิน)

1. ควรยื่นขอเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสมอ
ฟรีแลนซ์ควรจะต้องยื่นแบบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ทุกๆ ปี เพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนให้ธนาคารเห็นว่า เราเป็นคนมีรายได้ มีที่มาที่ไปของเงิน และสามารถจ่ายหนี้ได้แน่นอน

2. เก็บหลักฐานหรือผลงานเกี่ยวกับการทำงานทุกครั้ง
ฟรีแลนซ์เป็นคนทำงานอิสระ และมีรายได้ที่ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นจงจำไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่มีการว่าจ้างงานเกิดขึ้น ให้เราขอหลักฐาน และเก็บหลักฐานนั้นไว้ด้วย เช่น หนังสือรับรอง สัญญาจ้าง ใบเสนอราคา หรือรูปถ่ายหน้างาน เป็นต้น หลักฐานพวกนี้สามารถช่วยให้เราน่าเชื่อถือได้ เมื่อต้องขอกู้ซื้อรถ

3. วางเงินดาวน์ให้ได้สูงที่สุด (เช่น 25 - 30%)
เงินดาวน์ก็เหมือนเงินลงทุนของเรา ยิ่งดาวน์เยอะ ยิ่งมีโอกาสที่จะกู้ผ่านสูงมาก เพราะไฟแนนซ์จะมีความเสี่ยงลดลงถ้าเงินดาวน์ยิ่งสูง

4. สร้างประวัติในเครดิตบูโรให้ดี
ปัจจุบันเครดิตบูโรถือได้ว่าสำคัญมากในการขอสินเชื่อ เพราะมันสามารถบอกประวัติการเงินทั้งหมดได้ว่าเรามีวินัยในการใช้หนี้ดีแค่ไหน ดังนั้น ถ้าเราเริ่มมีรายได้ สิ่งที่เราควรทำเพื่อสร้างเครดิตบูโรที่ดี คือการทำบัตรเครดิต และใช้จ่ายอย่างมีวินัย เช่น จ่ายตรงเวลา ไม่จ่ายเพียงแค่ขั้นต่ำ ยิ่งมีประวัติเครดิตยาวนานยิ่งดี (ต้องใช้เวลานะคะสำหรับข้อนี้ เริ่มทำกันได้เลยค่ะ)

5. เดินบัญชีอย่างน้อย 6 เดือน และมีเงินคงเหลือ 3 เท่าของค่างวด
ควรเปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้เพื่อเอาเงินรายได้ที่รับมาเข้าบัญชีทุกครั้งก่อนเอาไปใช้จ่ายอย่างอื่น (แต่อย่าถอนจนหมดนะคะ) ทำแบบนี้ให้สม่ำเสมอ เพื่อเป็นหลักฐานในการแสดงรายได้ให้ธนาคารเห็น และก่อนที่เราจะขอกู้ซื้อรถนั้น เราควรเดินบัญชีอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 1 ปีได้ยิ่งดี ที่สำคัญคือเงินคงเหลือในบัญชีควรมียอดเป็น 3 เท่าของค่างวดที่เราจะต้องผ่อนทุกเดือน เช่น ถ้าเราจะผ่อนรถงวดละ 7,000 บาท เราจะต้องมีเงินคงเหลือในบัญชี 21,000 บาท เป็นต้น (ยิ่งเหลือมาก ก็ยิ่งมีสิทธิ์มาก)

6. หาคนกู้ร่วม หรือคนค้ำประกัน
ถ้าเครดิตการเงินต่างๆ ที่ได้พูดถึงไปแล้วนั้น ยังดูไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ตัวช่วยสุดท้ายของเราก็คือ "หาคนกู้ร่วม" หรือ "หาคนค้ำประกัน" จริงๆ แล้วการกู้ซื้อรถสามารถกู้ร่วมได้นะคะ แต่คนกู้ร่วมเราจะต้องเป็นสามี-ภรรยา, พ่อ-ลูก หรือแม่-ลูก เท่านั้น ธนาคารหลายแห่งจะไม่ค่อยแนะนำช่องทางนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะสนับสนุนให้เราหาคนค้ำประกันมากกว่า ซึ่งคนค้ำประกันนี้จะเป็นใครก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มีงานประจำ และมีเงินเดือนสูงกว่าค่างวด 3 เท่าขึ้นไป

"Freelance" คนไหนที่เตรียมตัวได้ครบทั้ง 6 ข้อนี้ ดีแน่นอนค่ะ เพราะนอกจากเราจะใช้ในการขอสินเชื่อซื้อรถแล้ว เรายังสามารถยื่นขอซื้อบ้าน หรือขอสินเชื่อต่างๆ ที่เราต้องการได้อีกด้วย เหมือนกับยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัวเลยนะคะ
หากใครสนใจ ลองเตรียมตัวตามที่แนะนำดูนะคะ แล้วมารอดูผลกันว่า "Freelance" จะประสบความสำเร็จกับการขอกู้ซื้อรถหรือไม่? (ได้ผลยังไง อย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์กับเราด้วยนะคะ ยินดีอย่างยิ่งค่ะ

11
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส มีข้อจำกัดหรือไม่
 
หลายคนคงทรายกันดีอยู่แล้วว่า การเข้ารับการจัดฟัน เป็นการรักษาที่ต้องใช้ความต่อเนื่องและยาวนาน บางคนอาจจะใช้เวลาหลายปี ต้องมีความรับผิดชอบ ทั้งเรื่องเวลา ระเบียบวินัย และค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการจัดฟัน ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องไปพบทันตแพทย์ทุกเดือน แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ดีต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบัน เพราะไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ


แม้ว่าการจัดฟันจะเป็นวิธีที่ได้ผลดี แและมีการพัฒนาไปมาก แต่การเข้ารับการจัดฟันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ด้วยเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน บางคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากหรือโรคที่เกี่ยวกับช่องปาก ทันตแพทย์อาจจะแนะนำให้เข้ารับการรักษาก่อน จนมีความพร้อมที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส  สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงข้อจำกัดของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ที่หลายคนอาจจะมีความกังวลว่า จะเข้ารับการรักษาได้หรือไม่ นอกจากเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ยังเป็นข้อจำกัดของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส
 
สำหรับข้อจำกัดของการจัดฟันแบบใส แน่นอนว่าแย่างแรกเลยคือ การจัดฟันแบบใส มีราคาสูง นอกจากขั้นตอนการเข้ารับการจัดฟันแล้ว ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมความพร้อม เช่น การพิมพ์ปาก เอกซเรย์ เคลียร์ช่องปาก จัดฟัน ทำรีเทนเนอร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีความพร้อมในเรื่องของงบประมาณด้วย นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใส จะต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันเป็นเวลานาน


ซึ่งกว่าที่เราจะจัดฟันเสร็จและต้องพบทันตแพทย์ตามที่นัดหมายทุกครั้ง เพื่อเข้ารับการปรับเครื่องมือและรับเครื่องมือการจัดฟันชุดใหม่ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องวางแผนให้ดีๆ เพราะอาจมีผลกระต่อแพลนที่วางไว้ เช่น เรียนต่อต่างประเทศ ย้ายงาน หรือย้ายที่อยู่อาศัย ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราได้ทั้งนั้น ต่อมาคือ การทำความสะอาดของช่องปากและฟัน ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องดูแลเอาใจใส่ในเรื่องความสะอาดในช่องปากมากขึ้น
ต้องพิถีพิถันทำความสะอาดฟันหลังอาหารทุกครั้ง ถึงแม้ว่า การจัดฟันแบบใส จะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้เวลาที่จะต้องทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพราะการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบไหน หรือไม่ได้เข้ารับการจัดฟัน ก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะป้องกันการเกิดฟันผุและปัญหาอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้ ก็คือ ข้อจำกัดในการรักษาด้วยการเข้ารับการจัดฟันแบบใส


ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทางที่ดีก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ผู้เข้ารับการจัดฟันควรที่จะปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา และที่สำคัญที่สุดในเรื่องของระเบียบวินัย ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีระเบียบวินัย ในการสวมใส่เครื่องมืออย่างน้อยวันละ 20-22 ชั่วโมง เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ เพราะถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันไม่สวมใส่เครื่องมือตามที่ทันตแพทย์กำหนด ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาคลาดเคลื่อนได้ ทำให้เครื่องมือการจัดฟันทำงานได้ไม่เต็มที่ จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องยืดระยะเวลาในการจัดฟันนานไปอีก

ทั้งนี้ หากใครสนใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมทุกรูปแบบ รวมไปถึงการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส ทำให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ทางคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ทำให้คลินิกของเรามีคามน่าเชื่อถือ และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่มั่นใจได้อย่างแน่นอน

12
motor expo ชม Avatr 012 รถยนต์ไฟฟ้า Limited Edition เปิดพรีเซลเริ่ม 3.36 ล้านบาท เพียง 700 คันเท่านั้น

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Avatr 012 เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการที่งาน 2024 Avatr Brilliant Night ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน รถคันนี้เป็นการดีไซน์ร่วมกันกับ Kim Jones ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Dior และ Fendi
 
Avatr 012 เปิดราคาเริ่มต้นที่ 700,000 หยวนหรือ 3.36 ล้านบาท ในจำนวนจำกัดเพียง 700 คันเท่านั้น พร้อมกับแถมกระเป๋าผ้า Dior มาให้ในรถ 1 ใบด้วย

 
มิติตัวถัง Avatr 012
ความยาว 5,020 มม.
ความกว้าง 1,999 มม.
ความสูง 1,450 มม.
ระยะฐานล้อ 3,020 มม.
 
รถคันนี้มีพื้นฐานเดียวกับ Avatr 12 โมเดลปี 2024 ทำให้รถทั้งสองมีขนาดใกล้เคียงกัน
 

ชาร์จเร็ว พร้อมขุมพลัง 570 แรงม้า วิ่งไกล 350 กม.
 
ขุมพลังของ Avatr 012 นั้นมาจากระบบ DriveONE ของ Huawei จับคู่กับแบตเตอรี่ 5C Qilin ของ CATL ซึ่งมอบความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่เร็วสุดจาก 30 - 80% ได้ภายใน 10 นาที ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่เปิดเผยในตอนนี้
 
อย่างไรก็ตาม DongCheDi สื่อมวลชนจากจีนระบุว่า Avatr 012 จะมีขุมพลังที่ให้กำลังสูงสุด 570 แรงม้า (425 kW) และแรงบิดอันมหาศาลที่ 650 นิวตันเมตร ซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์ด้านหน้า 261 แรงม้า (195 kW) แรงบิด 280 นิวตันเมตร และด้านหลัง 308 แรงม้า (230 kW) แรงบิด 370 นิวตันเมตร และให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 650 กม. ตามมาตรฐาน CLTC
 
ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนล้อ Forged ขัดเงาขนาด 21 นิ้ว รวมถึงมีออพชันล้ำสมัยอย่าง กล้องกระจกมองข้าง และมือจับประตูที่แนบไปกับตัวรถ
 
 
ดีไซน์จาก Avatr 12 แต่หรูหรามากกว่า
 
สำหรับดีไซน์ของ Avatr 012 ส่วนใหญ่จะนำมาจาก Avatr 12 แต่มาพร้อมความแตกต่างที่มากกว่า เริ่มด้วยสีภายนอก “liquid silver” ดีไซน์ด้านหน้าแบบแยกส่วน E-shaped มีหน้าจอ interactive HALO screen ภายนอกรถที่ประกอบด้วยดวงไฟเล็ก ๆ กว่า 10,500 ดวง และมีเซนเซอร์ LiDAR อยู่ภายในกระจังหน้า
 
สำหรับกระจังหน้าสามารถเปิด-ปิดเพื่อรับอากาศเพิ่มเติมได้ ขณะเดียวกันก็มี เซนเซอร์ LiDAR อีก 2 จุดบริเวณซุ้มล้อของรถเพื่อรองรับระบบ ADAS ผ่านระบบ Huawei Qiankun ADS 3.0
 
นอกจากนี้ ด้านหลังเราจะเห็นไฟท้ายแบบแยกส่วน และสปอยเลอร์ท้ายเป็ดอีกด้วย
 
 
ภายในสไตล์ล้ำ
 
ห้องโดยสารของ Avatr 012 ยังใช้ดีไซน์ของ Avatr 12 มาพร้อมโทนสีห้องโดยสารที่อบอุ่น ภายในรถใช้ระบบปฏิบัติการ Huawei’s HarmonyOS 4 ออกแบบโดยลดปุ่มกดที่ไม่จำเป็นออกไป พร้อมกับพวงมาลัยทรง polygon, หน้าจอกลาง 15.6 นิ้ว, หน้าจอ 4K ขนาด 35.4 นิ้ว ซึ่งประกอบด้วยมาตรวัดและระบบความบันเทิง
 
ขณะเดียวกันก็ยังมีหน้าจอสำหรับแสดงผลกล้องกระจกมองข้าง ทั้งซ้าย-ขวา อีกด้วย นอกจากนี้ Avatr ยังคัสตอมโลโก้ใหม่บนพวงมาลัยและเสา B
 

นอกจากนี้ บริเวณพนักพิงเบาะนั่งยังสลักโลโก้สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Avatr and Kim Jones อีกด้วย
 
สำหรับเพดานของห้องโดยสารยังออกแบบบรรยากาศให้เป็นกลุ่มดาว starry skylight design และเบาะแถวหลังยังหุ้มด้วยหนัง Nappa พร้อมออพชั่นสุดพรีเมียมอย่าง จอความบันเทิงขนาดใหญ่ และที่วางแขนซึ่งมีฟังก์ชันมากมาย
 

Avatr 012 จำกัดเพียง 700 คัน
 
Avatr 012 คือ Avatr 12 เวอร์ชั่นหรูที่มีจำนวนจำกัด ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยพร้อมกับความ exclusive และไม่เหมือนใครเป็นอย่างมาก

13
Doctor At Home: โรคลมชัก (Seizures/Epilepsy)/ลมบ้าหมู (Grand mal)

โรคลมชัก เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ผิดปกติของสมอง ทำให้เกิดอาการหมดสติ เคลื่อนไหวผิดปกติ รับสัมผัสความรู้สึกแปลก ๆ หรือมีพฤติกรรมผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นฉับพลัน เป็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็กลับหายเป็นปกติได้เอง แต่มักจะมีอาการกำเริบซ้ำเป็นครั้งคราว แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคลมชักต่อเมื่อพบว่ามีอาการกำเริบตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป การชักเพียงครั้งเดียวอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และหายขาดตลอดไป แพทย์จะไม่วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชัก

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-1 ของประชากรทั่วไป พบได้ในคนทุกอายุ แต่มักจะพบเป็นครั้งแรกในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และคนอายุมากกว่า 65 ปี

ในปัจจุบันมีการแบ่งโรคลมชักออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ โรคลมชักเฉพาะส่วน (focal seizures) และโรคลมชักทั่วไป (generalized seizures) แต่ละกลุ่มยังแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ออกไปอีกหลายชนิด

ในที่นี้จะกล่าวอย่างละเอียดเฉพาะ โรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (tonic-clonic seizures หรือ grand mal seizures) ซึ่งอยู่ในกลุ่มโรคลมชักแบบทั่วไป จะมีอาการชักร่วมกับหมดสติ (ตรงกับที่คนไทยเรียกว่า ลมบ้าหมู) โรคลมชักชนิดนี้จัดว่าเป็นชนิดที่พบได้บ่อย มีความรุนแรงและมีอันตรายมากกว่าชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากลายเป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) มีโอกาสเสียชีวิตและพิการค่อนข้างสูง

สาเหตุ

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ซึ่งเป็นโรคลมชักแบบทั่วไปชนิดหนึ่ง เกิดจากการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างผิดปกติของเซลล์สมองเพียงจุดใดจุดหนึ่งในสมอง และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังสมองทั้งสองด้าน กระตุ้นให้เกิดอาการชักทั้งตัวและหมดสติชั่วขณะ

โรคลมชักกว่าร้อยละ 50 จะเกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน เรียกว่า โรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic seizures) เชื่อว่ามีความพร่องของสารเคมีบางอย่างในการควบคุมกระแสไฟฟ้าในสมอง โดยที่โครงสร้างของสมองเป็นปกติดี ทำให้การทำหน้าที่ของสมองสูญเสียความสมดุล เกิดอาการลมชักขึ้น โรคลมชักชนิดนี้ส่วนใหญ่มักพบมีอาการครั้งแรกในคนอายุ 5-20 ปี และเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ (มักมีประวัติโรคลมชักในครอบครัว)

ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนหนึ่งจะตรวจพบสาเหตุชัดเจน เรียกว่า โรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ (symptomatic seizures) ซึ่งมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้ที่มีอายุมากกว่า 25 ปีที่เริ่มชักเป็นครั้งแรก มีสาเหตุตามกลุ่มอายุดังนี้

    อาการชักในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจมีสาเหตุจากไข้ (ดู “โรคชักจากไข้”) โรคติดเชื้อในสมอง ความผิดปกติของสมองแต่กำเนิด สมองได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างคลอด หรือมีภาวะบางอย่างที่กระทบต่อสมอง เช่น ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นต้น
    ในเด็กเล็กที่มีความบกพร่องด้านพัฒนาการ เช่น ออทิสติก (autism spectrum disorder) สมาธิสั้น (ADHD) กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) สมองพิการ (cerebral palsy ซึ่งเกิดจากสมองขาดออกซิเจนตอนคลอด) มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมชักมากกว่าปกติ
    ในวัยทำงานหรือวัยกลางคน อาจเกิดจากโรคพิษสุรา ยาเสพติด การใช้ยาเกินขนาด
    ในผู้สูงอายุอาจเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง โรคสมองเสื่อม ไตวาย หรือตับวายระยะท้าย ความดันโลหิตสูงชนิดร้ายแรง
    ในคนทุกวัยอาจเกิดจากโรคติดเชื้อ (เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มาลาเรียขึ้นสมอง เอดส์) เนื้องอกสมอง ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เลือดออกในสมอง เป็นฝีหรือพยาธิในสมอง สมองอักเสบจากโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune encephalitis) ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พิษจากยาเกินขนาด (เช่น ยาชาลิโดเคน ยาแก้ซึมเศร้า ทีโอฟิลลีน เป็นต้น)
    ในหญิงตั้งครรภ์อาจเกิดจากครรภ์เป็นพิษ

อาการ

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ผู้ป่วยอยู่ดี ๆ ก็มีอาการหมดสติ เป็นลมล้มพับกับพื้นทันที พร้อมกับมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัว หายใจลำบาก หน้าเขียว ซึ่งจะเป็นอยู่นานไม่กี่วินาทีถึง 20 วินาที ต่อมาก็จะมีอาการชักกระตุกของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเป็นระยะ ๆ และมีอาการตาค้าง ตาเหลือก ในระยะแรกมักจะถี่แล้วค่อย ๆ ลดลงตามลำดับจนกระทั่งหยุดกระตุก ในช่วงนี้จะมีอาการน้ำลายฟูมปาก และอาจมีเลือดออก (จากการกัดริมฝีปากหรือลิ้นตัวเอง) อาจมีอาการปัสสาวะหรืออุจจาระราดร่วมด้วย

อาการชักจะเป็นอยู่นาน 1-3 นาที แล้วฟื้นสติตื่นด้วยความรู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย บางรายอาจม่อยหลับไปนานเป็นชั่วโมง ๆ

ผู้ป่วยมักจะจำไม่ได้ว่าตัวเองล้มลง

หลังจากม่อยหลับและตื่นขึ้นมาแล้ว อาจมีอาการปวดศีรษะ มึนงง สับสน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หาวนอน ลืมตัว และอาจทำอะไรที่ตัวเองจำไม่ได้ในภายหลัง

บางรายอาจมีอาการเตือน หรือออรา (aura) นำมาก่อนจะหมดสติ เช่น แขนหรือขาชาหรือกระตุกเพียงข้างหนึ่ง หรืออาจเห็นแสงวาบ ได้กลิ่น รส หรือได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือมีความรู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น

ผู้ป่วยอาจเกิดอาการชักในเวลากลางวัน หรือหลังเข้านอนตอนกลางคืนก็ได้ บางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุกระตุ้น บางครั้งก็พบสาเหตุที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยชัก เช่น การอดนอนหรือนอนไม่พอ หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา การกินอาหารมากเกินไป ร่างกายเหนื่อยล้า อารมณ์เครียด การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพยา (เช่น แอมเฟตามีน โคเคน) การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก-ไดเฟนไฮดรามีน ยาแก้คัดจมูก-สูโดเอฟีดีน ยาแก้ปวด-ทรามาดอล ยาต้านซึมเศร้า เป็นต้น) การมีประจำเดือน การเจ็บป่วย (เช่น ไข้สูง โรคโควิด-19 ไข้หวัด ไซนัสอักเสบ ภาวะขาดน้ำ) การอยู่ในที่ที่มีเสียงอึกทึกหรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การลืมกินยารักษาโรคลมชัก เป็นต้น

ลมบ้าหมู

โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักมีอาการชักอยู่เพียง 1-3 นาที ก็จะหยุดชัก และฟื้นสติตื่นขึ้น

บางรายที่มีอาการรุนแรง อาจเป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายร้ายแรง ผู้ป่วยจะชักต่อเนื่องนานกว่า 5 นาทีขึ้นไป หรือมีอาการชักตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปโดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการฟื้นสติในระหว่างช่วงการชักแต่ละครั้ง


โรคลมชักต่อเนื่องมักพบในผู้ป่วยที่เคยกินยารักษาโรคลมชักมาก่อนแล้วขาดยา (หยุดกินยา) ทันที แต่ถ้าพบภาวะนี้ในผู้ที่มีอาการโรคลมชักเป็นครั้งแรก ก็มักจะเป็นโรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ เช่น โรคติดเชื้อของสมอง เนื้องอกสมอง สมองพิการ ตกเลือดในสมอง พิษยาเกินขนาด ภาวะถอนแอลกอฮอล์ในผู้ป่วยที่ติดแอลกอฮอล์ ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว/ลมบ้าหมู อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

    อาการหมดสติ ล้มฟุบ และชัก อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ เช่น บาดแผลตามร่างกาย แผลจากการกัดลิ้นตัวเอง กระดูกหัก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

ข้อสำคัญคือ อาจทำให้ได้รับอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ขณะเล่นน้ำหรือว่ายน้ำ ปีนป่ายหรืออยู่ในที่สูง อยู่ใกล้เตาไฟ น้ำร้อนหรือของร้อน ซึ่งอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงตายได้

    อาจทำให้เกิดการสำลักเศษอาหารลงปอด เกิดปอดอักเสบได้
    ผู้ที่มีอาการชักบ่อย อาจทำให้มีอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนหนังสือ และการทำงานได้
    บางรายพบว่ามีความบกพร่องทางอารมณ์และสติปัญญา เช่น ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ มีภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้า
    ในรายที่เป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ก็อาจทำให้สมองพิการหรือเสียชีวิตได้ ภาวะนี้มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-20
    ผู้ที่เป็นโรคลมชักรุนแรงบางรายอาจเกิดภาวะเสียชีวิตกะทันหัน (sudden unexpected death in epilepsy) ขณะมีอาการกำเริบ แม้เกิดอาการขณะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย (เช่น บนเตียงนอน) ก็ตาม สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ภาวะขาดอากาศหายใจ (suffocation) การสำลักอาหาร เป็นต้น มักเกิดกับผู้ที่ยังควบคุมอาการชักไม่ได้ผลดีและมีการขาดยารักษา ภาวะนี้พบได้ประมาณ 1 รายต่อผู้ที่เป็นโรคลมชักเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) 1,000 รายต่อปี


การวินิจฉัย

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

โดยทั่วไปเมื่อผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลมักจะหยุดชักแล้ว ซึ่งตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นบาดแผลตามร่างกายหรือลิ้น ในกรณีที่มีการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุแทรกซ้อน

ถ้าพบผู้ป่วยขณะมีอาการ ก็จะพบอาการหมดสติ ชักเกร็ง กระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogram/EEG) ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เจาะหลัง (lumbar puncture) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ในรายที่มีอาการชักติดต่อกันนานเกิน 5 นาที อาจมีแนวโน้มเป็นอาการแสดงของโรคลมชักต่อเนื่อง แพทย์จะให้การปฐมพยาบาล และฉีดยาแก้ชัก (เช่น ไดอะซีแพม, ลอราซีแพม, ฟีโนบาร์บิทาล, เฟนิโทอิน, ไมดาซีแพม) และให้การรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ออกซิเจน ให้น้ำเกลือ) ตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุ ถ้าตรวจพบว่าเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ก็จะฉีดกลูโคสขนาด 50% 50-100 มล. เข้าหลอดเลือดดำ

ถ้าหยุดชักแล้ว ให้การรักษาดังข้อ 2

2. ในรายที่ชักเพียงชั่วขณะ หรือหยุดชักจากการดูแลรักษาเบื้องต้น ถ้าเป็นการชักครั้งแรก หรือยังไม่เคยได้รับการตรวจจากแพทย์มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือคนอายุมากกว่า 25 ปี อาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogram/EEG) ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เจาะหลัง (lumbar puncture) เพื่อค้นหาความผิดปกติของสมอง นอกจากนี้หากสงสัยว่ามีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ อาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ (เช่น การตรวจนับเม็ดเลือด การตรวจระดับน้ำตาลและเกลือแร่ในเลือด การตรวจเลือดทดสอบการทำงานของตับและไต เป็นต้น) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ หากเพิ่งเคยชักมาเพียง 1 ครั้ง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัว หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการ และเฝ้าสังเกตดูอาการต่อไป โดยยังไม่ให้ยารักษา เนื่องเพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจไม่มีอาการชักอีกตลอดไป (โอกาสชักซ้ำพบได้ประมาณร้อยละ 30-60) ซึ่งไม่คุ้มกับผลข้างเคียงจากยา

แพทย์จะพิจารณาให้ยากันชักแก่ผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบซ้ำครั้งที่ 2 ยาที่นิยมใช้เป็นพื้นฐาน ได้แก่ ฟีโนบาร์บิทาล และเฟนิโทอิน โดยจะเลือกใช้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งก่อน แพทย์จะค่อย ๆ ปรับขนาดยาที่ใช้ขึ้นทีละน้อยจนสามารถควบคุมอาการได้ ถ้าไม่ได้ผลอาจเปลี่ยนไปใช้ยาพื้นฐานอีกชนิดหนึ่ง

แต่ถ้าได้ลองใช้ยาพื้นฐานในขนาดเต็มที่แล้วยังไม่ได้ผล อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ชนิดอื่น เช่น โซเดียมวาลโพรเอต (sodium valproate) คาร์บามาซีพีน (carbamazepine) โทพิราเมต (topiramate) เป็นต้น

ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการกำเริบด้วยยาเพียงชนิดเดียว มีน้อยรายที่อาจต้องให้ยาควบกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป

เมื่อปรับยาจนสามารถควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ป่วยจะต้องกินยาในขนาดนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปี จนปลอดอาการชักแล้ว 2-3 ปี (สำหรับเด็ก) และ 5 ปี (สำหรับผู้ใหญ่) จึงเริ่มหยุดยา โดยค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้เกิดโรคลมชักต่อเนื่องเป็นอันตรายได้

เมื่อลดยาหรือหยุดยาแล้ว กลับมีอาการชักใหม่ (พบได้ประมาณร้อยละ 25 ในเด็ก และร้อยละ 40-50 ในผู้ใหญ่) ก็ควรจะกลับไปใช้ยาตามเดิมอีก บางรายอาจต้องกินยาคุมอาการตลอดไป

3. สำหรับผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักและกินยารักษามาก่อน ถ้าพบว่ามีอาการชักเพราะขาดยาหรือปรับลดยาเอง ก็ให้กลับไปกินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอยู่เดิม แต่ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการชักทั้ง ๆ ที่กินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอยู่แล้ว อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดยา หรือปรับเปลี่ยนยาใหม่ จนกว่าจะควบคุมอาการได้

4. ในรายที่ใช้ยารักษาไม่ได้ผลหรือทนต่อผลข้างเคียงไม่ได้ แพทย์จะทำการตรวจด้วยวิธีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อค้นหาตำแหน่งเนื้อสมองที่เป็นจุดกำเนิดการชัก (ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติ) และทำการผ่าตัดสมองจุดนั้นออกไป  ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หรือไม่ก็อาจช่วยลดความถี่และบรรเทาความรุนแรงของการชัก หลังผ่าตัดแพทย์จะให้ยากันชักคอยควบคุมอาการต่อไป

ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อต่อยาและการผ่าตัดดังกล่าว แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น

    การใช้เครื่องกระตุ้นประสาทเวกัส (vagus nerve stimulation) เป็นการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นประสาทไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก โดยมีสายไฟต่อกับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 หรือประสาทเวกัส (Vagus Nerve) ซึ่งอยู่ที่บริเวณคอ เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทเวกัสและสมอง ก็จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักลงได้ และลดขนาดยากันชักที่ใช้ลงได้
    การกระตุ้นสมองส่วนลึก (deep brain stimulation/DBS) เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) ไว้ที่บริเวณทาลามัสในสมอง โดยต่อกับอุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าซึ่งฝังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก หรือกะโหลก เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง ก็จะช่วยลดอาการชักลงได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่การใช้ยากันชักมักทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดี คือ ปลอดอาการชักได้ ซึ่งอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องนานเป็นปี ๆ กว่าจะหยุดยาได้ บางรายหลังหยุดยาอาจมีอาการชักกำเริบได้อีก บางรายอาจดื้อต่อยา และจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยวิธีอื่น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการชัก ควรให้การปฐมพยาบาล และพาผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคลมชักหรือลมบ้าหมู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยากันชักทุกวัน ตามขนาดที่แพทย์แนะนำ ควรทำบันทึกการกินยาและการนัดของแพทย์เพื่อกันลืม
    อย่าหยุดยา หรือปรับเปลี่ยนขนาดยา หรือซื้อยากินเอง
    ถ้าลืมกินยาไปเพียงมื้อเดียวหรือวันเดียว ให้เริ่มกินในมื้อต่อไปตามปกติ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดอื่นร่วมกับยากันชักโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะยาบางชนิดอาจต้านฤทธิ์ยากันชัก ทำให้อาการชักกำเริบได้ บางชนิดอาจเสริมฤทธิ์ยากันชัก ทำให้เกิดพิษขึ้นได้
    ยากันชักบางชนิดอาจต้านฤทธิ์ยาเม็ดคุมกำเนิด ทำให้คุมกำเนิดไม่ได้ผล บางชนิดอาจมีผลทำให้ทารกในครรภ์พิการหรือแท้งได้ ผู้ป่วยที่กินยาคุมกำเนิดหรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การดูแลที่เหมาะสมต่อไป เช่น ในรายที่กินยาโซเดียมวาลโพรเอต หรือคาร์บามาซีพีน แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาเม็ดกรดโฟลิก (folic acid) ขนาด 1 มก./วัน ตั้งแต่ระยะก่อนตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการทางระบบประสาทในทารก (neural tube defect)
    หากตั้งครรภ์ หรือเจ็บป่วยอย่างอื่น ควรแจ้งให้แพทย์ที่รักษาทราบ และนำยาที่กินอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วย
    ในกรณีที่เปลี่ยนสถานที่รักษา ควรนำประวัติและยาที่กินอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วย
    หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการชัก เช่น อย่าอดนอน อย่าอดอาหาร อย่าทำงานเหนื่อยเกินไป ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่กระตุ้นให้เกิดอาการชัก อย่าเข้าไปในที่ที่มีเสียงอึกทึกหรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนทางจิตใจ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงการกระทำและสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย เช่น ว่ายน้ำ ปีนขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ใกล้น้ำ ทำงานกับเครื่องจักร ขับรถ ขับเรือ เดินข้ามถนนตามลำพัง เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องว่ายน้ำ ควรมีคนอื่นอยู่ด้วยตลอดเวลา

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชักกำเริบ
    ขาดยาที่แพทย์สั่งให้ใช้หรือยาหาย
    มีไข้ หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การปฐมพยาบาลสำหรับโรคลมบ้าหมูหรืออาการชัก

เมื่อพบผู้ป่วยมีอาการชัก ควรให้การปฐมพยาบาลดังนี้

1. ป้องกันอันตราย หรือการบาดเจ็บ โดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในพื้นที่โล่งและปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือระเกะระกะอยู่ข้างกาย (ถ้ามีข้าวของที่อยู่รอบบริเวณผู้ป่วยควรเคลื่อนย้ายออกไป) ระวังการตกจากที่สูง และให้อยู่ห่างจากน้ำและไฟ

2. ปลดเสื้อผ้า เข็มขัด เครื่องแต่งกาย เน็กไท ผ้าพันคอให้หลวม

3. จับผู้ป่วยนอนในท่าตะแคง เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง (โดยการผลักลำตัวผู้ป่วย ไม่ใช่การดึงแขนผู้ป่วย อาจทำให้ไหล่หลุดได้) ให้ผู้ป่วยหนุนหมอนหรือผ้าห่ม

4. ถ้ามีเศษอาหาร เสมหะ หรือฟันปลอม ให้นำออกจากปาก ถ้าผู้ป่วยใส่แว่นตาควรถอดออก

5. อย่าใช้วัตถุ (เช่น ไม้ ด้ามช้อน ปากกา ดินสอ) สอดใส่ปากผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้น เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจทำให้ปากและฟันได้รับบาดเจ็บได้

6. อย่าผูกหรือมัดตัวผู้ป่วย อาจทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บได้

7. อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง จนกว่าจะหายเป็นปกติ

8. อย่าให้ผู้ป่วยกินอะไรระหว่างชัก หรือหลังชักใหม่ ๆ อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักได้

การป้องกัน

โรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic seizures) แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้อาการชักกำเริบได้ ด้วยการกินยารักษาอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ “การดูแลตนเอง”

โรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ (symptomatic seizures) อาจป้องกันด้วยการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือภาวะที่ทำให้ชัก อาทิ

    ป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะจากเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางจราจร การตกจากที่สูง เป็นต้น
    ป้องกันการเกิดโรคพยาธิในสมอง เช่น โรคพยาธิตืดหมู ด้วยการไม่กินเนื้อหมูดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคติดเชื้อที่มีผลต่อสมอง เช่น มาลาเรีย สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
    ป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยาเบาหวาน พึงระวังไม่ให้ใช้ยาเกินขนาด หรือกินอาหารผิดเวลา หรืออดอาหาร
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด หรือการใช้สารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาท

ข้อแนะนำ

1. โรคลมชักมีหลายชนิด นอกจากโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ซึ่งมีอาการชักร่วมกับหมดสติ และมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้แล้ว ยังอาจมีโรคลมชักชนิดอื่น ๆ ที่ไม่มีอาการหมดสติ หรืออาการชักก็ได้ เช่น มีอาการแขนหรือขาชาหรือกระตุกเพียงข้างเดียว หรือมีอาการกระตุกของมุมปาก ใบหน้า นิ้วมือหรือนิ้วเท้า หรืออาจเห็นแสงวาบ ได้กลิ่น รส หรือได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือมีอาการแบบเผลอสติ (สูญเสียการรับรู้สิ่งรอบตัว) หรือเหม่อนิ่งชั่วขณะ เป็นต้น หากพบว่ามีอาการชัก หมดสติ หรืออาการแปลก ๆ ดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุหรือลมบ้าหมู ส่วนใหญ่มีทางรักษาให้หายขาดได้ หรือสามารถใช้ยาควบคุมไม่ให้เกิดการชักได้ แต่ต้องกินยาติดต่อกันนานเป็นปี ๆ บางรายอาจต้องกินยาไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยควรไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจนควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ป่วยสามารถทำงาน เรียนหนังสือ เล่นกีฬาหรือออกสังคมได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถแต่งงานได้

3. ผู้ป่วยควรเปิดเผยให้เพื่อนที่ทำงานหรือที่โรงเรียนทราบถึงโรคที่เป็น เพื่อว่าเมื่อเกิดอาการชักจะได้ไม่ตกใจ และหาทางช่วยเหลือให้ปลอดภัย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงควรมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของโรคและวิธีช่วยเหลือผู้ป่วย ไม่ควรแสดงความรังเกียจ ควรให้กำลังใจผู้ป่วย และให้เข้าร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวันเช่นคนอื่น ๆ

4. อาการชักอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย (ตรวจอาการชัก) แพทย์จะทำการวินิจฉัยแยกแยะให้แน่ชัดก่อนจะสรุปว่าเป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ อาจเกิดจากความผิดปกติทางสมอง ส่วนในวัยรุ่นหรือวัยทำงานอาจเกิดจากพิษแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด

14
4 ค่าใช้จ่ายพึงประเมิน ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน 2567 และวิธีคำนวณความคุ้มค่า

การ "รีไฟแนนซ์บ้าน" เป็นวิธียอดฮิตที่ผู้ขอสินเชื่อใช้เพื่อขอลดดอกเบี้ย และปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้ให้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อนที่จะขอรีไฟแนนซ์บ้าน ผู้ขอสินเชื่อควรต้องประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด และคำนวณความคุ้มค่าในระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่าการรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้จะเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการชำระหนี้ และช่วยให้ประหยัดเงินได้จริง วันนี้…เราจะพามารีเช็กข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ผู้ขอสินเชื่อควรคิดคำนวณให้ดีก่อนการรีไฟแนนซ์บ้านกันค่ะ

4 ค่าใช้จ่ายพึงประเมิน ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน

1. ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ หรือ ค่าโอน เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้กู้ต้องจ่ายให้กับสำนักงานที่ดิน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าหนี้หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยปกติค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จะคิดเป็น 2% ของราคาประเมินหรือมูลค่าทรัพย์สิน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจมีมูลค่าสูง ในกรณีที่ทรัพย์สินมีมูลค่าสูง หากผู้ขอสินเชื่อต้องการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจเลือกธนาคารที่มีโปรโมชันในการรีไฟแนนซ์บ้านที่ลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ เช่น โปรโมชัน "ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน" เป็นต้น

2. ค่าจดจำนอง เป็นค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการจดทะเบียนทรัพย์สินเป็นหลักประกันในการกู้เงิน หรือขอสินเชื่อกับธนาคาร โดยธนาคารจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จดจำนอง เมื่อผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ตามข้อตกลง ธนาคารจะสามารถยึดทรัพย์สิน และขายทอดตลาดเพื่อชดเชยหนี้สินได้ โดยปกติค่าจดจำนองจะอยู่ที่ 1% ของวงเงินสินเชื่อที่ทำการรีไฟแนนซ์ ยิ่งวงเงินกู้สูง ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็จะสูงตามไปด้วย ผู้ขอสินเชื่อสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ หากเลือกธนาคารที่มีโปรโมชันฟรีค่าจดจำนอง เป็นต้น

3. ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน เป็นค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการประเมินมูลค่าของทรัพย์สิน ก่อนที่ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน โดยค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 5,000 บาท
 
ปกติธนาคารจะทำการประเมินทรัพย์สินเพื่อทราบมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกต้องตามสภาพปัจจุบัน ช่วยให้ธนาคารสามารถกำหนดวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมกับมูลค่าของทรัพย์สินนั้นๆ ซึ่งขั้นตอนในการประเมินทรัพย์สิน คือ ธนาคารจะส่งผู้ประเมินที่ได้รับอนุญาต เข้าพื้นที่บ้านหรือทรัพย์สินที่ต้องการประเมิน เพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน เช่น การดูสภาพภายนอกและภายใน ทำเลที่ตั้ง ความต้องการของตลาด และคุณสมบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเมื่อทำการประเมินทรัพย์สินแล้ว ผู้ประเมินจะจัดทำรายงานประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อส่งให้กับธนาคารพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

4. ค่าประกันชีวิต (MRTA/MLTA) เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการทำประกันชีวิตควบคู่กับสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน เป็นประกันเพื่อคุ้มครองกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตก่อนที่จะชำระหนี้หมด ซึ่งประกันนี้ช่วยให้ธนาคารมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เงินกู้จะได้รับการชำระคืนแน่นอนจากบริษัทประกัน และไม่ตกเป็นภาระต่อครอบครัวผู้กู้ ประกันชีวิตสำหรับสินเชื่อนี้มี 2 รูปแบบหลัก คือ MRTA (Mortgage Reducing Term Assurance) และ MLTA (Mortgage Level Term Assurance) ซึ่งมีรายละเอียดและความแตกต่างกัน คือ

MRTA (Mortgage Reducing Term Assurance)
วงเงินความคุ้มครองจะลดลงตามยอดหนี้ที่ลดลงไปเรื่อยๆ
หากผู้กู้เสียชีวิตก่อนชำระหนี้หมด บริษัทประกันจะจ่ายหนี้ที่เหลือให้ธนาคารตามวงเงินคงเหลือของหนี้ในช่วงเวลานั้น
ค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่าประกันแบบ MLTA เพราะวงเงินคุ้มครองลดลงตามการผ่อนชำระหนี้
MLTA (Mortgage Level Term Assurance)
วงเงินความคุ้มครองคงที่ตลอดอายุสัญญาประกัน ไม่ว่าผู้กู้จะชำระหนี้ไปเท่าไรแล้ว
หากผู้กู้เสียชีวิตก่อนชำระหนี้หมด บริษัทประกันจะจ่ายวงเงินคุ้มครองตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ไม่ลดลงตามยอดหนี้
ค่าเบี้ยประกันสูงกว่า MRTA เพราะวงเงินคุ้มครองคงที่ และให้ความคุ้มครองมากกว่า

วิธีคำนวณความคุ้มค่าในการรีไฟแนนซ์
หลังจากที่เราทราบค่าใช้จ่ายพึงประเมิน ก่อนการตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้านกันแล้ว ลำดับถัดไป เราควรคำนวณว่าการรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ โดยอาจพิจารณาจาก
 
1. เปรียบเทียบระหว่างอัตราดอกเบี้ยเก่ากับอัตราดอกเบี้ยใหม่
 
เหตุผลหลักของการรีไฟแนนซ์บ้าน คือต้องการลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ผู้กู้ควรคำนวณด้วยว่าอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ลดลง จะทำให้ยอดหนี้ที่ต้องชำระลดลงเท่าใด โดยอาจเปรียบเทียบดอกเบี้ยเก่ากับดอกเบี้ยใหม่ทั้งในระยะสั้น (3 ปีแรก) และระยะยาว เพราะการลดลงของดอกเบี้ยจะทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลง และจะส่งผลให้ยอดดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมดในระยะยาวลดลงไปด้วย​


2. ระยะเวลาคืนทุนจากค่าใช้จ่ายรีไฟแนนซ์
 
เป็นการคำนวณว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าใดที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรีไฟแนนซ์บ้านจะคุ้มทุนจากการประหยัดดอกเบี้ยได้ ซึ่งการคำนวณนี้จะช่วยให้ผู้กู้ทราบว่าการรีไฟแนนซ์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ในระยะยาวนั่นเองค่ะ

ตัวอย่างการคำนวณ : นาย A ต้องการรีไฟแนนซ์บ้าน โดยคำนวณค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์แล้วทั้งสิ้นอยู่ที่ 80,000 บาท โดยนาย A สามารถประหยัดเงินจากดอกเบี้ยได้เดือนละ 2,000 บาท ดังนั้นระยะเวลาคืนทุนของการรีไฟแนนซ์บ้านในครั้งนี้ คิดเป็น ระยะเวลาคืนทุน = 80,000 / 2,000 เท่ากับ 40 เดือน หรือประมาณ 3 ปี 4 เดือน
 
สรุปได้ว่า...การรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้

คุ้มค่า : หากนาย A มีแผนจะถือครอง หรืออยู่อาศัยในบ้านหลังนี้เกินกว่าระยะเวลาคืนทุน หรือมากกว่า 3 ปี 4 เดือน การรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้จะถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์จะสามารถคืนทุนได้จากการประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาว

ไม่คุ้มค่า : หากนาย A มีการวางแพลนที่จะขายบ้าน หรือรีไฟแนนซ์เพื่อย้ายธนาคารก่อนที่จะถึงจุดคุ้มทุน การรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้ก็อาจจะไม่คุ้มค่า เนื่องจากระยะเวลาสั้นเกินไป และยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน
 
3. การประเมินความเสี่ยง และความยืดหยุ่นในการชำระหนี้
 
ปัจจัยอื่นนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรีไฟแนนซ์บ้าน และเรื่องของอัตราดอกเบี้ยแล้ว ผู้กู้ควรพิจาณาความยืดหยุ่นในการผ่อนชำระหนี้ เช่น กรณีต้องการขยายเวลาผ่อนชำระเพื่อลดยอดผ่อนต่อเดือน หรือกรณีลดระยะเวลาการผ่อนชำระเพื่อปิดจบหนี้ให้เร็วขึ้น เป็นต้น เพื่อให้แน่ใจว่าการรีไฟแนนซ์ครั้งนี้จะสร้างภาระเพิ่มในอนาคต
สรุปแล้ว การรีไฟแนนซ์สามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้จริง และช่วยทำให้การผ่อนบ้านง่ายขึ้น ทั้งนี้ก่อนจะตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้านควรทำความเข้าใจในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยให้ดี  รวมถึงคำนวณความคุ้มค่าที่จะได้จากการรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าการรีไฟแนนซ์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องนะคะ

15
จัดฟันบางนา: อาการของผู้ที่ ไม่สามารถ จัดฟันแบบใส ได้ !

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการจัดฟันที่เป็นที่นิยมมาก เพราะการจัดฟันแบบใสมีจุดเด่นมากกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่นๆ การจัดฟันแบบใสมีข้อจำกัดในการรักษาหลายอย่าง ถึงแม้จะเป้นการจัดฟันที่เป็นที่นิยม และมีการนำนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาใช้ แต่ในเรื่องของข้อจำกัดก็มี และไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้ ข้อจกกัดในการรักษาถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องระวังมากเป็นพิเศษ ผู้ที่จะเข้ารับการรักษาจะต้องบอกข้อมูลอย่างละเอียดแก่ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อที่จะช่วยให้ผลการรักษาประสบความสำเร็จ ทันตแพทย์จะทำการวางแผนการรักษา

ซึ่งแผนการรักษาในแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน เพราะมีสภาพฟันและปัญหาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียด โดยจะดูปัจจัยหลักๆจองการฝังรากฟันเทียม เช่น ดูบริเวณฟันโดยรอบ กระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับรากฟันเทียม รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับช่องปากที่ทันตแพทย์ต้องทำการตรวจ เพราะบางโรคทันตแพทย์อาจจะไม่แนะนำให้จัดฟันแบบใส เพราะจะทำให้เกิดอันตราย หรือบางครั้งในการจัดฟันแบบใสอาจจะไม่มีผลดีต่อช่องปากของผู้เข้ารับการรักษา

หากผู้ที่จะเข้ารับการรักษาเป็นโรคเหงือกอักเสบ จะต้องทำการปรึกษาทันตแพทย์ผู้เข้ารับการนรักษาก่อนเข้ารับการจัดฟัน ซึ่งบางกรณีวัสดุที่เป็นในส่วนของเครื่องมือจัดฟัน อาจจะส่งผลต่อผู้เข้ารับการรักษาได้ด้วย ซึ่งวัสดุที่เป็นเครื่องมือการจัดฟัน ผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการแพ้ เพราะฉะนั้นถ้าหากมีความผิดปกติ ผู้เข้ารับการรักษาควรเข้าปรึกษาทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาทันที และต้องหยุดใช้เครื่องมือ อาการผิดปกติอาจจะสังเกตได้คือ ผู้เข้ารับการรักษาอาจจะมีอาการบวมแดง หรืออาการอักเสบ หลังจากใช้เครื่องมือการจัดฟัน หากไม่หยุดใช้อาจจะเกิดผลเสียต่อการรักษาและช่องปากได้

เพราะฉะนั้น หลังจากการเข้ารับการจัดฟัน ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติ และหากมีปัญหาควรรีบปรึกษาทันตแพทย์โดยด่วน การรักษาทางการจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่ไร้ลวดเหล็ก ซึ่งประกอบด้วยชุดเครื่องมือจัดฟันแบบใส แบบถอดได้ ที่จะต้องเปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์ ตามลำดับของชิ้นเครื่องมือ โดยเครื่องมือจะออกแบบและผลิตขึ้นมาเฉพาะบุคคล เพราะสภาพฟันของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน เป็นเครื่องมือที่ใส่สบาย ไม่ระคายเคืองปาก และยังสามารถรับประทานอาหาร ทำความสะอาดฟันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหลุดของเครื่องมือ

นอกจากนี้การปฏิบัติตัวขณะการจัดฟันแบบใส ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีวินัยในการใส่เครื่องมือการจัดฟัน เพราะด้วยเครื่อวมือที่สามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร และขณะแปรงฟัน อาจจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาเผลอลืมใส่เครื่องมือ หากลืมบ่อยๆก็จะส่งผลต่อการรักษาทันที

ในการรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องถอดเครื่องมือทุกครั้ง เพราะการใส่เครื่องมือจัดฟันและรับประทานอาหารไปด้วย จะส่งผลให้เครื่องมือเกิดความเสียหายได้ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นร้อนหรือเย็นก็ควรถอดเครื่องมือ ยิ่งถ้าเป็นเครื่องดื่มที่ร้อน แม้ว่าจะเป็นน้ำร้อนก็ควรจะถอดเครื่องมือ เพราะความร้อนของเครื่องดื่ม อาจจะส่งผลให้เครื่องมือบิดเบี้ยวได้ เพราะฉะนั้นนอกจากการดูแลสุขภาพช่องปาก การดูแลรักษาเครื่องมือก็ถือว่าสำคัญมากเช่นกัน หากคุณสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส ทางคลีนิคเรามีทีมทันตแพทย์คอยให้คำปรึกษา โดยทีมทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ในการจัดฟันทุกรูปแบบ นอกจากนี้ทางคลีนิคของเรายังมีการบริการทางทันตกรรมที่ครบวงจร มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันและฟันที่ดีขึ้นมากอย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 16