แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
doctor at home: ไข้รูมาติก (Rheumatic Fever)

ไข้รูมาติก เป็นภาวะการอักเสบของร่างกายที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ หลังจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Group A Streptococcus หรือ Strep A) ซึ่งมักก่อให้เกิดอาการเจ็บคอ หรือไข้ออกผื่น (Scarlet Fever) ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน

โรคนี้ไม่ได้ติดต่อโดยตรง แต่เชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ โรคไข้รูมาติกพบบ่อยในเด็กวัยเรียนอายุ 5-15 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี หรือมีการอยู่รวมกันอย่างแออัด

สาเหตุของไข้รูมาติก
ไข้รูมาติกเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus Group A ที่บริเวณคอและต่อมทอนซิล (Streptococcal Pharyngitis หรือ Strep Throat) หากการติดเชื้อนี้ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อ แต่ภูมิคุ้มกันเหล่านี้อาจ "เข้าใจผิด" ไปโจมตีเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ ข้อต่อ สมอง และผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบตามมา

อาการของไข้รูมาติก
อาการของไข้รูมาติกมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะส่วนใดถูกโจมตีและเกิดการอักเสบ อาการมักปรากฏขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อเจ็บคอที่ไม่ได้รับการรักษา อาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไข้: มักมีไข้ต่ำๆ หรือไข้สูงได้

ข้ออักเสบ (Arthritis): เป็นอาการที่พบบ่อยและเป็นลักษณะเฉพาะ โดยอาการปวดข้อจะ ย้ายตำแหน่ง (migratory polyarthritis) เช่น ปวดบวมแดงร้อนที่ข้อเข่า แล้วย้ายไปปวดที่ข้อเท้า หรือข้อมือ ข้อศอก โดยข้อหนึ่งหายแล้วอีกข้อก็ปวดต่อ มักเป็นข้อใหญ่ๆ

หัวใจอักเสบ (Carditis): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นซ้ำหลายครั้ง อาจทำให้เกิด โรคหัวใจรูมาติก (Rheumatic Heart Disease) ตามมาได้ อาการที่บ่งบอกถึงหัวใจอักเสบ ได้แก่

เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก

ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรือเต้นผิดจังหวะ

เจ็บหน้าอก

มีเสียงฟู่ในหัวใจ (Heart Murmur) ที่แพทย์ตรวจพบ

บวมตามตัว (จากภาวะหัวใจวาย)

การเคลื่อนไหวผิดปกติ (Sydenham's Chorea หรือ St. Vitus' Dance):

เป็นการเคลื่อนไหวที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะที่ใบหน้า แขน และขา

มักเกิดขึ้นหลังการติดเชื้อนานกว่าอาการอื่นๆ (ประมาณ 1-6 เดือน) และอาจเป็นมากขึ้นเมื่อเครียดหรือเหนื่อย

ผื่นผิวหนัง (Erythema Marginatum):

เป็นผื่นแดงราบ หรือนูนเล็กน้อย ขอบเป็นวงแหวนขรุขระ คล้ายแผนที่ ไม่คัน และมักพบบริเวณลำตัวและต้นแขนขา

ปุ่มใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Nodules):

เป็นก้อนแข็งขนาดเล็ก ไม่เจ็บ มักพบบริเวณปุ่มกระดูก เช่น ข้อศอก หัวเข่า หรือข้อมือ


ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดของไข้รูมาติกคือ โรคหัวใจรูมาติก (Rheumatic Heart Disease - RHD) ซึ่งเกิดจากการอักเสบซ้ำๆ ที่ทำลายลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วอย่างถาวร นำไปสู่:

หัวใจวาย: หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ:

ลิ่มเลือดอุดตัน: อาจทำให้เกิดอัมพาต หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ


การรักษาไข้รูมาติก

การรักษาไข้รูมาติกมีวัตถุประสงค์หลักคือ:

กำจัดเชื้อแบคทีเรีย: ให้ยาปฏิชีวนะ (มักเป็นเพนิซิลลิน) เพื่อกำจัดเชื้อสเตรปโตคอคคัสที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำในระยะสั้น

ควบคุมการอักเสบและบรรเทาอาการ: ให้ยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน หรือสเตียรอยด์ เพื่อลดไข้ ลดอาการปวดบวมข้อ และลดการอักเสบในหัวใจ

ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ (Secondary Prophylaxis): เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผู้ป่วยที่เคยเป็นไข้รูมาติก โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะหัวใจอักเสบร่วมด้วย จะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ (มักเป็นเพนิซิลลินชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 3-4 สัปดาห์) อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายปี หรือตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสซ้ำ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดไข้รูมาติกกำเริบและทำลายหัวใจมากขึ้น

รักษาภาวะแทรกซ้อน: หากเกิดโรคหัวใจรูมาติกแล้ว อาจต้องมีการผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

การป้องกันไข้รูมาติก
การป้องกันไข้รูมาติกที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ Strep A หรือการรักษาการติดเชื้อนั้นให้หายขาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักเน้นในกลุ่มเด็กวัยเรียน:


รักษาอาการเจ็บคอให้หายขาด:

หากมีอาการเจ็บคอ มีไข้ ต่อมทอนซิลแดง มีจุดหนอง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรับยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง

รับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบถ้วนตามแพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อกำจัดเชื้อให้หมดไปจริงๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไข้รูมาติก


รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล:

ล้างมือบ่อยๆ: ด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะหลังไอ จาม และก่อนรับประทานอาหาร

ไอ จาม อย่างถูกวิธี: ใช้กระดาษทิชชู หรือข้อพับแขนด้านในปิดปากและจมูก

ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า

หลีกเลี่ยงการอยู่รวมกันอย่างแออัด: โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

การตระหนักรู้และเข้ารับการรักษาอาการเจ็บคอจากเชื้อสเตรปโตคอคคัสอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไข้รูมาติก และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจรูมาติกในระยะยาวค่ะ

2
การจัดฟันเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line มีข้อดีอย่างไรบ้าง

การจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line เป็นการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4-15 ปี ที่มีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างใบหน้า ปัญหากระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาในเรื่องของกล้ามเนื้อใบหน้า ที่เป็นองค์ประกอบสำหรับของโครงสร้างบริเวณใบหน้า โดยในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line นั้น จะช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้อง


ดังนั้น ตามหลักการทางทันตกรรมแล้ว หากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ เนื่องจากเด็กในวัยนี้ ยังสามารถปรับและแก้ไขโครงสร้างหน้าด้วยกลไกตามธรรมชาติได้อยู่นั่นเอง เด็กๆหลายคน ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาของรูปหน้าและการขึ้นของฟัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว การดูดขวดนม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลถึงการขึ้นของลักษณะฟัน พ่อแม่ผู้ปกครอง หากได้ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกน้อยของท่าน และถ้าหากว่ามีพฤติกรรมดังกล่าว ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อทีจะได้ทราบถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุตรหลานของท่านในอนาคต สำหรับใครที่สนใจการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line และกำลังตัดสินใจเพื่อให้ลูกน้อยเข้ารับการรักษา ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย

แต่ในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF Line ว่ามีประโยชน์ต่อลูกน้อยของเราอย่างไรบ้าง การรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line นั้น สำหรับเครื่องมือจัดฟัน EF Line มีลักษณะเป็นชิ้นยางสี ที่ลูกน้อยของท่านควรที่จะสวมใส่เครื่องมือจัดฟัน EF Line วันละอย่างน้อย 10 ชั่วโมงจะได้ผลดีและเพื่อให้ฟันเข้าที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งในขณะหลับตอนกลางคืน เครื่องมือการจัดฟัน  EF line จะทำงานด้วยการบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน ส่งผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบ สู่สภาวะที่สมดุล ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย เป็นลักษณะเสริมกันโดยอัตโนมัติ


ดังนั้น เครื่องมือ EF Line จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของขนาดและรูปร่างของกระดูกขากรรไกรในทิศทางที่เหมาะสม ช่วยให้มีการปรับตำแหน่งของฟัน โดยมีเหตุมาจากแรงกระทำของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบนั่นเอง สำหรับข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น และที่สำคัญยังสามารถส่งเสริมให้เด็กใส่ใจในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันมากยิ่งขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฟันผุในเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line เพื่อให้เด็กได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีความมั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเอง ทำให้มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาลูกน้อยหรือบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจประเมินช่องปากเบื้องต้น เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line สามารถเข้ามาปรึกษากับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้

ทางเรามีทันตแพทย์ที่จะคอยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง ทางทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ในด้านของการจัดฟันในเด็ก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกน้อยและบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่แข็งแรง เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ทั้งยังมีใบหน้าที่เข้าที่เข้าทาง อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ มีบุคลิกภาพที่ดี และสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นด้วย

3
การดูแลสายยางให้อาหารผู้ป่วย อาหารสายยาง

การให้อาหารทางสายยางเข้าสู่กระเพาะอาหารโดยตรง เพื่อให้ได้รับอาหาร น้ำและยา เพียงพอกับความต้องการของร่างกายสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้หรือมีปัญหาในการกลืน แพทย์จะใส่สายยางลงไปยังกระเพาะอาหารโดยตรง เพื่อให้ผู้ได้รับสารอาหาร และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดสารอาหาร อาหารทางสายยาง โดยหลักการต้องมีอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือ คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล) โปรตีน (เนื้อสัตว์, ไข่, นม, ถั่ว) ไขมัน (น้ำมัน, ไขมันสัตว์) เกลือแร่วิตามิน (ผักต่างๆ ผลไม้) กล่าวโดยทั่วไปต้องให้ได้คาร์โบไฮเดรต 40-50% โปรตีน 20-30% ไขมัน 10-20% เกลือ+วิตามิน 10% แล้วแต่ว่าผู้ป่วยต้องการหรือต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทจึงจะจัดทำสูตรอาหารแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล


เนื่องจากผู้ป่วยในแต่ละโรคต้องรับอาหารที่มีความแตกต่างกัน แต่สูตรอาหารนั้นจะต้องทำการออกแบบโดยนักโภชนาการ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังขึ้นกับท้องถิ่นว่าจะหาซื้อหรือจัดหาได้สะดวกอีกด้วยหรือผลไม้ ตามฤดูกาลก็ประยุกต์เข้ากับสูตรอาหารได้เช่นกัน หากผู้ดูแลต้องการทำอาหารปั่นผสมให้กับผู้ป่วยด้วยตนเอง แต่ก็ต้องมีการควบคุมโดยนักโภชนาการ


สำหรับการเตรียมอาหารปั่นผสม เป็นอาหารที่ต้องมีการออกแบบสูตรให้ถูกกับโรคของผู้ป่วยด้วย โดยจะต้องมีการคัดสรรวัตถุดิบที่มีความปลอดภัยของผู้ป่วย มีการคำนวณปริมาณสารอาหารที่จะต้องให้กับผู้ป่วย และที่สำคัญทุกขั้นตอนในการเตรียมอาหารปั่นผสมที่จะนำไปให้แก่ผู้ป่วยจะต้องมีความสะอาด ปลอดภัย ปราศจากสิ่งปนเปื้อน เพื่อให้ผู้ได้รับสารอาหารที่สะอาด ปลอดภัย เพื่อที่จะได้หายจากพักฟื้นอาการป่วยโดยการเตรียมอาหารปั่นผสมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือถ้าหากอาหารมาในรูปแบบสำเร็จรูป ที่มีทั้งชนิดน้ำ สามารถใช้ได้ทันที และชนิดผงใช้ชงกับน้ำต้มสุก โดยจะต้องมีอัตราส่วนตามแพทย์สั่ง ก็สามารถทำได้โดยง่ายเพียงน้ำไปผสมกับน้ำ


แต่ถ้าหากเป็นอาหารที่จัดเตรียมขึ้นเอง จะต้องมีการเลือกวัตถุดิบ คำนวณสูตร ปริมาณให้เหมาะสม แล้วนำวัตถุดิบมารวมกันปั่นละเอียด ทั้งนี้อาหารปั่นผสมที่จะนำไปให้ผู้ป่วยทางสายยางจะต้องมีความหนืด ความเหลวที่พอดี เพื่อให้ไหลผ่านสายยางให้อาหารได้อย่างคล่องตัว เพราะถ้าหากอาหารปั่นผสมมีความหนืดมากจนเกินไป อาจจะทำให้อาหารเกิดติดขัดภายในสายยางให้อาหารได้ ทำให้เกิดปัญหาระหว่างการให้อาหาร เช่น ผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการสำลักอาหารได้ ดังนั้น ทุกขั้นตอนในการเตรียมอาหารปั่นผสม ไม่ว่าในรูปแบบใด ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก เพราะไม่ฉะนั้นอาจจะเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้ สำหรับเราคำนึงและใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตอาหารปั่นผสม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่สะอาด ปลอดภัย เราผลิตจากห้องปลอดเชื้อของโรงพยาบาล จึงมั่นใจได้ว่าอาหารปั่นผสม จะมีคุณภาพและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากโรงพยาบาลชั้นนำ ทั้งยังออกแบบสูตรโดยนักโภชนาการอีกด้วย


ไม่แม้แต่อาหารปั่นผสมที่จะต้องระมัดระวัง แต่เรื่องของอุปกรณ์ เครื่องมือในการให้อาหารทางสายยางก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากไม่ดูแลให้ดีก็อาจจะนำไปสู่การอักเสบติดเชื้อได้ เพราะเครื่องมืออุปกรณ์ทุกอย่างที่จะต้องนำมาใช้แก่ผู้ป่วยจะต้องมีความปลอดภัยมากที่สุดและผู้ดูแลจะต้องดูแลรักษาความสะอาดทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังจากการให้อาหารแก่ผู้ป่วย สำหรับวิธีการดูแลรักษาสายยางให้อาหารแก่ผู้ป่วย ผู้ดูแลจะต้องทำการสังเกตและเปลี่ยนพลาสเตอร์ที่ติดสายยางให้อาหารทุกๆ 2 – 3 วัน หรือเมื่อหลุด


แต่ในกรณีที่เกิดการหลุด ผู้ดูแลหรือญาติจะต้องพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เพื่อทำการใส่สายยางให้อาหารใหม่ ควรทำความสะอาดรูจมูก และบริเวณรอบๆจมูก หรือแผลบริเวณหน้าท้องด้วยไม้พันสำลี หรือผ้าชุบน้ำ และที่สำคัญผู้ดูแลจะต้องระวังสายยางเลื่อนหลุด ควรทำเครื่องหมายไว้เป็นจุดสังเกตด้วย เพราะบางครั้งผู้ป่วยอาจจะดึงสายยางให้อาหาร อาจจะทำให้สายยางให้อาหารหลุดหรือเคลื่อนที่ได้ ถ้าสายยางเลื่อนหลุดไม่ควรใส่เอง เพราะอาจใส่ผิดไปเข้าหลอดลม ให้มาพบแพทย์ อย่างไรก็ตามควรพาผู้ป่วยมาพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนสายให้อาหารเมื่อสกปรก หรือทุกๆ 1 เดือน

4
การเลือกใช้วัสดุและประเภทของท่อลมร้อน ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน

การเลือกใช้วัสดุและประเภทของท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานยาวนาน โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาดังนี้:

1. ลักษณะการใช้งาน

ประเภทของงาน:
พิจารณาว่าท่อลมร้อนจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการผลิตใด เช่น การระบายความร้อน การอบแห้ง หรือการระบายสารเคมี
แต่ละกระบวนการอาจต้องการท่อลมร้อนที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน

อุณหภูมิและความดัน:
กำหนดช่วงอุณหภูมิและความดันของอากาศร้อนที่ท่อลมต้องรองรับ
เลือกท่อลมที่ทำจากวัสดุที่สามารถทนทานต่ออุณหภูมิและความดันที่กำหนดได้

สภาพแวดล้อม:
พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความชื้น สารเคมี หรือฝุ่นละออง

2. วัสดุของท่อลมร้อน

ความทนทานต่อความร้อน:
เลือกวัสดุที่สามารถทนทานต่ออุณหภูมิสูงได้ โดยไม่เสื่อมสภาพหรือปล่อยสารพิษ
วัสดุที่นิยมใช้ ได้แก่ เหล็ก สแตนเลส อะลูมิเนียม หรือผ้าใบที่มีคุณสมบัติทนความร้อน

ความทนทานต่อสารเคมี:
หากท่อลมต้องสัมผัสกับสารเคมี ควรเลือกวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อนจากสารเคมี

ความแข็งแรงและความทนทาน:
เลือกวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทก แรงดัน และสภาพแวดล้อมต่างๆ

3. ประเภทของท่อลมร้อน

ท่อลมโลหะ:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงทนทานสูง ทนความร้อนได้ดี
เช่น ท่อลมเหล็ก ท่อลมสแตนเลส ท่อลมออะลูมิเนียม

ท่อลมยืดหยุ่น:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น ติดตั้งง่าย
เช่น ท่อลมอลูมิเนียมฟอยล์ ท่อลมผ้าใบ ท่อลมพีวีซี

ท่อลมแบบมีฉนวน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการรักษาอุณหภูมิ ลดการสูญเสียความร้อน
เช่น ท่อลมพรีอินซูเลท

4. ขนาดและรูปแบบของท่อลมร้อน

ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง:
เลือกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อลมให้เหมาะสมกับปริมาณอากาศที่ต้องการระบาย
ขนาดที่เล็กเกินไปจะทำให้เกิดแรงดันตก และขนาดที่ใหญ่เกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน

ความยาวของท่อลม:
กำหนดความยาวของท่อลมให้เหมาะสมกับระยะทางการระบายอากาศ
ท่อลมที่ยาวเกินไปจะทำให้เกิดแรงดันตก

รูปแบบของท่อลม:
เลือกรูปแบบของท่อลมให้เหมาะสมกับพื้นที่ติดตั้ง เช่น ท่อลมแบบตรง ท่อลมแบบโค้ง หรือท่อลมแบบยืดหยุ่น

5. ฉนวนกันความร้อน

ประสิทธิภาพของฉนวน:
เลือกท่อลมที่มีฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดการสูญเสียความร้อนและประหยัดพลังงาน
ฉนวนกันความร้อนที่ดีจะช่วยรักษาอุณหภูมิของอากาศร้อนให้คงที่

ความทนทานของฉนวน:
เลือกฉนวนกันความร้อนที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น ความชื้น หรือสารเคมี

6. ความปลอดภัย

มาตรฐานความปลอดภัย:
เลือกท่อลมร้อนที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เช่น มอก. หรือมาตรฐานสากล
ตรวจสอบการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การติดตั้ง:
ติดตั้งท่อลมร้อนโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าการติดตั้งถูกต้องและปลอดภัย
ตรวจสอบการติดตั้งสายดินและการระบายอากาศ

7. การบำรุงรักษา

ความง่ายในการบำรุงรักษา:
เลือกท่อลมร้อนที่ง่ายต่อการตรวจสอบและบำรุงรักษา
กำหนดแผนการบำรุงรักษาเป็นประจำ เพื่อยืดอายุการใช้งานของท่อลมร้อน

อะไหล่และการบริการ:
ตรวจสอบความพร้อมของอะไหล่และการบริการหลังการขาย
เลือกผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือและมีบริการที่ดี

8. งบประมาณ

ค่าใช้จ่ายในการซื้อและติดตั้ง:
เปรียบเทียบราคาของท่อลมร้อนจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายหลายราย
พิจารณาค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบำรุงรักษา

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน:
พิจารณาค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานของระบบท่อลมร้อน
เลือกท่อลมร้อนที่ประหยัดพลังงาน

คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบท่อลมร้อน เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกท่อลมร้อนที่เหมาะสมกับโรงงานของคุณ
ตรวจสอบข้อมูลและรีวิวจากผู้ใช้งานจริง เพื่อประกอบการตัดสินใจ

5
การสร้างอาชีพ จากการขายเมี่ยงคำ อาหารไทยรสชาติกลมกล่อมที่เสิร์ฟมาในขนาดพอดีคำ มีธาตุอาหารครบ 5 หมู่อยู่ในคำเดียวกัน

เมี่ยงคำเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะมีธาตุอาหารครบ 5 หมู่อยู่ในคำเดียวกัน โดยไม่มีการบันทึกประวัติความเป็นมา แต่พิจารณาจากลักษณะของอาหารที่ใช้ทรัพยากรหลายอย่างจากสวน จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอาหารของชาวสวนแต่เดิม และอาจดัดแปลงมาจากเมี่ยงของชาวภาคเหนือ โดยเปลี่ยนใบเมี่ยงที่ใช้ห่อมาเป็นพืชผักในสวนภาคกลางแทน

เมี่ยงคำเป็นอาหารว่างไทยโบราณที่ผสมผสานรสชาติและเนื้อสัมผัสของอาหารไทยได้อย่างลงตัว เมี่ยงคำเป็นขนมขนาดพอดีคำที่ไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบอาหารเรียกน้ำย่อยที่สดชื่นและมีคุณค่าทางโภชนาการ

เมี่ยงคำคืออะไร ?
เมี่ยงคำ แปลว่า “ห่อใบชะพลู” เป็นอาหารที่ทำจากใบชะพลูสดที่ห่อด้วยวัตถุดิบหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละอย่างก็ให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การผสมผสานรสชาติหวาน เค็ม เปรี้ยว และเผ็ดเข้าด้วยกันสร้างรสชาติที่ระเบิดความอร่อยในทุกคำที่กัด

ส่วนผสมที่สำคัญ
แต่ละห่อเมี่ยงคำได้รับการประกอบอย่างพิถีพิถันด้วย:

ใบพลู – ส่วนฐานของแผ่นห่อ มีรสขมเล็กน้อยและมีกลิ่นดิน
กุ้งแห้ง – เพิ่มรสอูมามิแสนอร่อย
มะพร้าวคั่ว – ช่วยให้กลิ่นหอม และรสชาติถั่วคั่ว
ถั่วลิสง – เพิ่มความกรุบกรอบและความเข้มข้น
หอมแดง – มีกลิ่นฉุนคล้ายหัวหอมเล็กน้อย
มะนาว (พร้อมเปลือก) – ให้ความสดชื่นและกลิ่นส้ม
พริกขี้หนู – เพิ่มความเผ็ดร้อน
ขิง – เพิ่มความอบอุ่นและความสดชื่น
ซอสหวาน – โดยทั่วไปทำจากน้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา และมะขาม เพื่อผูกรสชาติทั้งหมดเข้าด้วยกัน

วิธีรับประทานเมี่ยงคำ
วิธีรับประทานเมี่ยงคำนั้นก็เพียงแค่นำใบพลูมาวางส่วนผสมแต่ละอย่างในปริมาณเล็กน้อยตรงกลาง ราดซอสหวานลงไปด้านบน ห่อด้วยกระดาษห่อเล็กๆ แล้วรับประทานให้หมดในคำเดียว รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ผสมผสานกันนี้ทั้งน่าพึงพอใจและสดชื่น

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
เมี่ยงคำไม่เพียงแต่เป็นอาหารว่างที่มีรสชาติดีเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายอีกด้วย:

อุดมไปด้วยใยอาหารจากใบพลูและวัตถุดิบสดใหม่
มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจากหอมแดง มะนาว และขิง
ดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีขิงและไฟเบอร์

เมี่ยงคำเป็นตัวแทนความกลมกล่อมของอาหารไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเสิร์ฟเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหรือของว่างก็ให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและน่าพึงพอใจ หากคุณมีโอกาส อย่าพลาดที่จะลองชิมขนมไทยแสนอร่อยนี้

6
อาการของโรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามลำดับ

โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี และทั่วทุกภาค โดยจำนวนผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตอนต้นเดือนพฤษภาคม จนมีจำนวนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน แล้วเริ่มมีแนวโน้มลดลงตอนปลายเดือนตุลาคม โรคนี้มีแนวโน้มเกิดการระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี (dengue virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 2, 3 และ 4

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมาก 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า ไข้เด็งกี (dengue fever/DF)*

ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก (ซึ่งอาจเป็นเชื้อเด็งกีชนิดเดียวกัน หรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ และมีระยะฟักตัวสั้นกว่าครั้งแรก) ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ และเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมา (น้ำเลือด) ไหลซึมออกจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือนถึง 5 ปี มักจะทิ้งช่วงไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง จึงมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีมากกว่าในวัยอื่น

โรคนี้มียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง (ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร) ก็จะแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋อง หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในกลางวันและกลางคืน

 ยุงลาย

* ไข้เด็งกี (dengue fever) เกิดจากการติดเชื้อเด็งกีครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จัดว่าเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ซึ่งมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่แม้จะไม่ได้ใช้ยา หรือเพียงให้ยาบรรเทาตามอาการ เนื่องเพราะเป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งไม่มียารักษาจำเพาะ

อาการที่พบได้ก็คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยมักไม่มีอาการเป็นหวัดเจ็บคอแบบไข้หวัด ผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงเล็กคล้ายหัดขึ้นตามตัว (ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน) บางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออก) ตามผิวหนัง

บางรายเมื่อทำการทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ และบางรายอาจพบเกล็ดเลือดต่ำ

โรคนี้มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือหากไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะวินิจฉัยจากอาการ (โดยไม่ได้ทำการทดสอบทูร์นิเคต์ และไม่ได้ตรวจเลือด) ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ (เช่น ไข้ปวดข้อยุงลาย ไข้ซิกา) เพียงให้การรักษาตามอาการและติดตามสังเกตอาการ ซึ่งมักจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกี

ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อเด็งกีครั้งแรก จึงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยติดเชื้อเด็งกี หากในเวลาต่อมาเกิดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำ ก็จะกลายเป็นไข้เลือดออกได้

อาการ

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซึ่งมักมีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา หรือกินยาลดไข้ก็มักจะไม่ทุเลา

มักมีอาการหน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย นอนซม เบื่ออาหาร

บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป ท้องผูกหรือถ่ายเหลว

ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือไอบ้างเล็กน้อย

ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขนขาและลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออก มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ (บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่)

ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย

การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ

ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางราย อาจมีไข้เกิน 7 วันได้

แต่ถ้าเป็นมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4

อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค

อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

ระยะที่ 2 นี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ อาการที่ส่อว่าดีขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2

รวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วันก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้

ความรุนแรงของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่

ขั้นที่ 1 (เกรด 1) มีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก

ขั้นที่ 2 (เกรด 2) มีอาการเพิ่มจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังปกติ

ขั้นที่ 3 (เกรด 3) มีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำ หรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร** (pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท (เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60)

ขั้นที่ 4 (เกรด 4) มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไม่ได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก

ไข้เลือดออกที่มีความรุนแรง ถึงขั้นที่ 3 และ 4 พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70-80 จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2

การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้น 3 และ 4 ควรจับชีพจร วัดความดันโลหิต และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโทคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ

*การทดสอบทูร์นิเคต์ (tourniquet test) โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดเหนือข้อศอกของผู้ป่วยด้วยค่าความดันกึ่งกลางระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างของคนคนนั้น (ความดันช่วงบนบวกความดันช่วงล่างหารสอง) เป็นเวลานาน 5 นาที
ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ให้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย (ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้) นาน 5 นาที
ถ้าพบมีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (เท่ากับเหรียญบาทโดยประมาณ) แสดงว่าการทดสอบได้ผลบวก ถ้าน้อยกว่า 10 จุดก็ถือว่าได้ผลลบ
ในผู้ป่วยไข้เลือดออก การทดสอบนี้จะได้ผลบวกได้มากกว่าร้อยละ 80 ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป ใน 1-2 วันแรกอาจให้ผลลบ
คนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ไอทีพี โลหิตจางอะพลาสติก หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก การทดสอบนี้อาจให้ผลลบได้

 การทดสอบทูร์นิเคต์

**แรงชีพจร (ความดันชีพจร) ในคนปกติจะอยู่ระหว่าง 30-50 มม.ปรอท ถ้าน้อยกว่า 30 เรียกว่า "แรงชีพจรแคบ" เช่น 120/100, 90/70, 80/70 เป็นต้น ถ้ามากกว่า 50 เรียกว่า "แรงชีพจรกว้าง" เช่น 160/90, 150/70 เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกรุนแรง (ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมาก หรือมีเลือดออกในสมอง มักมีอัตราตายสูง) ภาวะช็อก และภาวะอวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน

นอกจากนี้ อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) สมองอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด  หรือทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย

ในกรณีที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเป็นอยู่ตลอดเวลา) หน้าแดง เปลือกตาแดง นอนซม

อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดงหรือจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว การทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก (อาจให้ผลลบในวันแรก ๆ ของไข้)

ในรายที่เป็นรุนแรง (มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ4) จะตรวจพบภาวะช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างน้อยกว่า 30 มม.ปรอท) บางรายอาจตรวจพบอาการเลือดออก (เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด)

ในรายที่ยังวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายไม่ได้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเลือด พบเม็ดเลือดขาวมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 5,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร), เกล็ดเลือดมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 150,000 ตัวต่อเลือด 1ลูกบาศก์มิลลิเมตร), ฮีมาโทคริต (ซึ่งวัดระดับความเข้มของเลือด) สูงกว่าปกติ เนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง

ในการวินิจฉัยโรคนี้ให้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในเลือด (ด้วยวิธี NS1 หรือ PCR ซึ่งจะให้ผลที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการไข้ 1-3 วัน) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป แพทย์อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อดูสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้เลือดออกโดยวิธี ELISA (สามารถทราบผลจากการตรวจเพียงครั้งเดียว) หรือวิธี hemagglutination inhibition (HI ซึ่งต้องตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปดาห์)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือเพียงแต่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก จะให้การรักษาตามอาการ ดังนี้

    ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ
    หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล คำนวณขนาดตามน้ำหนักตัวหรือตามอายุ ให้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมได้ และห้ามให้ยาลดไข้กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ให้ยาลดไข้ บางครั้งไข้ก็อาจจะไม่ลดก็ได้ ระวังอย่าให้พาราเซตามอลถี่กว่ากำหนด อาจมีพิษต่อตับได้
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน) หรือสารละลายน้ำตาล เกลือแร่
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการทุกวัน ตรวจจับชีพจร วัดความดัน และตรวจดูอาการเลือดออก รวมทั้งทดสอบทูร์นิเคต์ ถ้าวันแรก ๆ ให้ผลลบ ก็จะทำซ้ำในวันต่อ ๆ มา

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ำ ช็อก หรือเลือดออก (มีอาการในขั้นที่ 2-4) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต (ดูความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าเลือดข้นมากไป เช่น ฮีมาโทคริตมีค่ามากกว่า 50% ขึ้นไป ก็แสดงว่าปริมาตรของเลือดลดน้อย) นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือด (พบว่าต่ำกว่าปกติทั้งคู่ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำประมาณวันที่ 3-4 ของไข้ โรคยิ่งรุนแรงเกล็ดเลือดจะยิ่งต่ำมาก)

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เช่น อิเล็กโทรไลต์ในเลือด ตรวจการทำงานของตับ (มักพบ AST และ ALT สูง) ตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด (congulation study) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

แพทย์จะทำการรักษา โดยให้น้ำเกลือรักษาภาวะช็อกหรือภาวะขาดน้ำ ถ้าจำเป็นอาจให้พลาสมาหรือสารแทนพลาสมา (เช่น แอลบูมินหรือเดกซ์แทรน) ให้เลือดถ้ามีเลือดออก และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้เป็นปกติภายใน 1-2  สัปดาห์ ส่วนน้อยมากที่อาจเสียชีวิต (เฉลี่ยในผู้ป่วย 1,000 คน มีการเสียชีวิตประมาณ 1 คน) จากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เลือดออกรุนแรง มีภาวะช็อก อวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น ผู้ที่เสียชีวิตมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว (เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น) อายุต่ำกว่า 1 ปี กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เข้ารับการรักษาช้า หรือปล่อยให้มีอาการรุนแรงค่อยมาพบแพทย์

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงหรือมีไข้ตลอดเวลาร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนซม หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้เลือดออก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาลดไข้-พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้ว่ากินยาแล้วไข้ไม่ยอมลดก็ห้ามกินถี่กว่าที่แนะนำ เพราะการใช้ยานี้มากเกินอาจมีพิษต่อตับได้
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดไข้-แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน (ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง เพราะหากอาเจียนอาจทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการอาเจียนออกเป็นเลือดหรือเป็นน้ำที่ดื่ม)
    ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน และหลีกเลี่ยงน้ำที่ออกสีเข้ม) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการหนาวสั่นมาก
    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กระสับกระส่าย หรือซึมมาก
    หายใจหอบ
    ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
    ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหารมาก หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มือเท้าเย็นชืด มีเหงื่อออกและท่าทางไม่สบายมาก
    มีจุดแดงจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
    มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น

    ปิดฝาโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้ ด้วยฝาอะลูมิเนียม ผ้า ตาข่ายไนล่อน หรือวัสดุอื่น
    เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน สำหรับแจกันพลูด่างต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามรากพลูด่างและข้างในแจกัน
    เปลี่ยนน้ำในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำเดือดลงไปในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำส้มสายชู ผงซักฟอก หรือเกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ (ใช้เกลือขนาด 2 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว)
    จานรองกระถางต้นไม้ ควรใส่ทรายธรรมดาให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของจานขนาดใหญ่ หรือเทน้ำที่ขังอยู่ในจานขนาดเล็กทิ้งทุก 7 วัน
    ควรเก็บกระป๋อง ฝาขวด (ฝาเบียร์) กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
    ยางรถยนต์เก่าถ้าไม่โยนทิ้งควรหาทางปกคลุม หรือเจาะรูระบายไม่ให้น้ำขัง หรือนำมาทำเป็นที่ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัว เครื่องใช้ (เช่น ที่ทิ้งขยะ เก้าอี้) แต่จะต้องดัดแปลงยางรถยนต์ให้ขังน้ำไม่ได้
    ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
    กำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการใส่ทรายอะเบต (abate)* ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด
    เลี้ยงปลาหางนกยูงไว้กินลูกน้ำในภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับใช้ (ไม่ใช่น้ำสำหรับบริโภค) ในอ่างบัว หรืออ่างปลูกต้นไม้น้ำ โดยใส่ปลาหางนกยูง 2-10 ตัวต่อภาชนะ ควรใส่เฉพาะปลาตัวผู้เพื่อคุมปริมาณปลาหางนกยูง

2. หาวิธีป้องกันอย่าให้ยุงลายกัด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เช่น ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเวลาออกนอกบ้าน, อยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด หรือให้เด็กเล็กนอนกางมุ้ง, ใช้ยาทากันยุงทาตามตัวเวลาอยู่ในที่ที่มียุง เป็นต้น

3. ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคไข้เลือดออก มีการรายงานว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนจนครบจำนวน 3 เข็ม (ซึ่งแต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน) สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้จากเชื้อเด็งกีทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ราวร้อยละ 65 และลดความรุนแรงของโรคได้ราวร้อยละ 93 ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อนแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเมื่อฉีดไปแล้ว หากมีการติดเชื้อเด็งกี มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรง และการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

เนื่องจากวัคซีนไข้เลือดออกยังมีราคาแพง และมีข้อระมัดระวังในการใช้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการฉีดวัคซีนชนิดนี้

*ใส่ทรายอะเบต (abate) ชนิด 1% ในอัตราส่วน 10 กรัม/น้ำ 100 ลิตร (ตุ่มมังกรขนาด 8 ปีบ ใช้อะเบต 2 ช้อนชา ตุ่มซีเมนต์ขนาด 12 ปีบ ใช้อะเบต 2.5 ช้อนชา) ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย

ข้อแนะนำ

1. ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้ โดยที่ไข้เลือดออกมักไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่แยกออกจากหัดได้ โดยหัดจะมีน้ำมูกและไอมากและตรวจพบจุดค๊อปลิก

นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้ผื่นกุหลาบในทารก ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น (ตรวจอาการไข้)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจมาด้วยอาการไข้สูงร่วมกับชักก็ได้

ดังนั้นในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทำการทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย

2. ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ

ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ที่เป็นไข้เลือดออก จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์

ประมาณร้อยละ 20-30 ที่อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก ซึ่งก็มีทางรักษาให้หายได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด มีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นอาจรุนแรงมากจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ

3. ระยะวิกฤติของโรคนี้คือวันที่ 3-7 ของไข้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพ้นระยะนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

4. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกในระยะแรก ถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียนมาก หรือเบื่ออาหาร (ดื่มน้ำได้น้อย) อาจมีภาวะช็อกตามมาได้ ดังนั้นถ้าพบอาการเหล่านี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรพยายามให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ ถ้าดื่มไม่ได้ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

5. เนื่องจากเชื้อไข้เลือดออกมีอยู่หลายชนิด ดังนั้นคนเราจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แล้วหายได้เอง ส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงช็อก และแต่ละคนจะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว (หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต) ที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก

6. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก สามารถให้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ควรแยกแยะอาการตัวเย็นจากยาลดไข้ให้ออกจากภาวะช็อก กล่าวคือ ถ้าตัวเย็นเนื่องจากยาลดไข้ ผู้ป่วยจะดูสบายดีและหน้าตาแจ่มใส แต่ถ้าตัวเย็นจากภาวะช็อก ผู้ป่วยจะซึมหรือกระสับกระส่าย

อย่างไรก็ตาม ควรย้ำให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่าการใช้ยาลดไข้อาจไม่ทำให้ไข้ลด ถ้าไข้ไม่ลดก็ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาดที่กำหนด ถ้าให้มากไปหรือถี่เกินไป อาจมีพิษต่อตับถึงขั้นอันตรายได้ และอย่าหันไปใช้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยี่ห้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประกอบด้วยยาพาราเซตามอลล้วน ๆ (โดยอ่านดูฉลากยาให้แน่ใจ) เพราะยาแก้ไข้อื่น ๆ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้

7. ในรายที่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ควรให้ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้น้อยไปหรือมากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะวิกฤติประมาณ 24-48 ชั่วโมง จำเป็นต้องตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต อย่างใกล้ชิด และปรับปริมาณและความเร็วของน้ำเกลือที่ให้ตามความรุนแรงของผู้ป่วย ต้องระวังการให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอันตรายได้

7
การใส่เครื่องมือกันฟันล้ม กับการเข้ารับการจัดฟันเด็กนั้น แบบไหนดีกว่า 

การพิจารณาว่าจะ "ใส่เครื่องมือกันฟันล้ม" หรือ "เข้ารับการจัดฟัน" สำหรับเด็กนั้น ไม่ใช่การเลือกแบบใดแบบหนึ่งว่าดีกว่ากันโดยเด็ดขาด แต่เป็นการรักษาที่ มีวัตถุประสงค์และช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยทันตแพทย์จัดฟันจะเป็นผู้ประเมินว่าเด็กแต่ละคนควรได้รับการรักษาแบบไหนและเมื่อไหร่ค่ะ

ทำความเข้าใจบทบาทของแต่ละอย่าง

การใส่เครื่องมือกันฟันล้ม (Space Maintainers):

วัตถุประสงค์หลัก: รักษาสมดุลของช่องว่างในขากรรไกร หลังจากที่เด็กสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนด (เช่น ฟันผุมากจนต้องถอน หรือจากอุบัติเหตุ) เพื่อ ป้องกันไม่ให้ฟันซี่ข้างเคียงล้มเอียงเข้าสู่ช่องว่างนั้น และทำให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาไม่มีพื้นที่เพียงพอ

ช่วงเวลา: มักจะทำใน ช่วงฟันน้ำนมหรือฟันผสม (ประมาณ 4-10 ปี) โดยเป็น การจัดฟันระยะที่ 1 (Phase 1 Orthodontics) หรือการจัดฟันแบบป้องกันปัญหา


ข้อดี:

ป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคต: ลดโอกาสการเกิดฟันซ้อนเก ฟันคุด หรือฟันขึ้นผิดตำแหน่งอย่างรุนแรง

ลดความซับซ้อนของการจัดฟันในอนาคต: หากฟันแท้ขึ้นมาในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องจัดฟันในระยะที่ 2 หรือหากต้องจัดก็จะเป็นเคสที่ไม่ซับซ้อนมาก

ค่าใช้จ่ายอาจน้อยกว่า: เมื่อเทียบกับการจัดฟันที่ซับซ้อนในอนาคต

ง่ายต่อการดูแล: มักไม่มีแรงกระทำต่อตัวฟัน เด็กไม่รู้สึกเจ็บ


ข้อเสีย:

ไม่สามารถแก้ปัญหาการเรียงตัวของฟันที่มีอยู่แล้วได้: เป็นแค่การรักษาสมดุลพื้นที่ ไม่ใช่การเคลื่อนฟันให้เรียงตัว

ต้องดูแลความสะอาดเป็นพิเศษ: อาจมีเศษอาหารติดได้

ต้องรอจนกว่าฟันแท้จะขึ้นมาเต็มที่ เพื่อดูว่ายังจำเป็นต้องจัดฟันต่อหรือไม่

การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก (Interceptive Orthodontics / Phase 1 Orthodontics / Comprehensive Orthodontics):

วัตถุประสงค์หลัก:

แก้ไขปัญหาการสบฟัน: เช่น ฟันสบคร่อม ฟันล่างคร่อมฟันบน ฟันสบลึก ฟันสบเปิด ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกรหรือการบดเคี้ยว

แก้ไขปัญหาโครงสร้างขากรรไกร: เช่น ขากรรไกรแคบ ฟันยื่นมากเกินไป เพื่อปรับการเจริญเติบโตของใบหน้า

เรียงฟันที่เริ่มมีปัญหาซ้อนเก หรือฟันห่าง

ช่วงเวลา:

จัดฟันระยะที่ 1 (Phase 1): มักเริ่มใน ช่วงฟันผสม (ประมาณ 7-10 ปี) เมื่อมีฟันแท้บางซี่ขึ้นมาแล้ว มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างหลักๆ ก่อน

จัดฟันระยะที่ 2 (Phase 2) / จัดฟันครบวงจร: มักเริ่มใน ช่วงฟันแท้ขึ้นครบ (ประมาณ 10-14 ปี หรือโตกว่านั้น) เพื่อเรียงฟันให้เข้าที่และมีการสบฟันที่สมบูรณ์


ข้อดี:

แก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม: ทั้งโครงสร้างขากรรไกรและปัญหาการเรียงตัวของฟัน

ได้ผลลัพธ์ถาวร: ทำให้ฟันเรียงสวย สบฟันดี ลดปัญหาในอนาคต

เพิ่มความมั่นใจ: ช่วยให้เด็กมีรอยยิ้มที่สวยงาม


ข้อเสีย:

ใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน: อาจเป็นปีหรือหลายปี

ต้องดูแลความสะอาดอย่างเข้มงวด: เพราะเครื่องมือเป็นแหล่งสะสมเศษอาหาร

อาจมีอาการปวดหรือระคายเคือง: โดยเฉพาะช่วงแรก หรือหลังการปรับเครื่องมือ

ค่าใช้จ่ายสูงกว่า: เมื่อเทียบกับเครื่องมือกันฟันล้ม

จำกัดการกินอาหารบางชนิด: เพื่อป้องกันเครื่องมือเสียหาย


เมื่อไหร่ที่ควรเลือกแบบไหน?

จริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็นการเลือกที่ขัดแย้งกัน แต่เป็นการรักษาที่ ต่อเนื่องหรือเสริมกัน ค่ะ

เลือกใส่เครื่องมือกันฟันล้ม:

เมื่อเด็ก สูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนด และทันตแพทย์ประเมินว่ามีความเสี่ยงที่ฟันซี่ข้างเคียงจะล้มเข้าสู่ช่องว่างนั้น ทำให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาไม่มีที่เพียงพอ

วัตถุประสงค์หลักคือการรักษาสมดุลพื้นที่ ไม่ใช่การเคลื่อนฟันที่ผิดตำแหน่งอยู่แล้ว

เลือกเข้ารับการจัดฟัน (Phase 1 หรือ Comprehensive):

เมื่อเด็กมีปัญหา การสบฟันผิดปกติ ที่ชัดเจน (เช่น ฟันสบคร่อม, ฟันยื่นมาก) ที่อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกร

เมื่อมี ฟันซ้อนเกหรือฟันห่าง ที่ต้องการการเรียงตัวอย่างจริงจัง

วัตถุประสงค์หลักคือการแก้ไขปัญหาโครงสร้าง หรือเรียงฟันให้เข้าที่

บทสรุป: ไม่ใช่ดีกว่า แต่เหมาะสมกว่าในแต่ละสถานการณ์
ไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่าโดยสมบูรณ์ แต่ขึ้นอยู่กับ ปัญหาเฉพาะของเด็กแต่ละคน และ ช่วงอายุที่เหมาะสม

เครื่องมือกันฟันล้ม เป็นการรักษาแบบ ป้องกัน ที่ทำได้ในระยะเริ่มต้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ใหญ่กว่าในอนาคต

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาแบบ แก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังจะเกิดขึ้นในระยะที่ฟันกำลังพัฒนา

ในหลายกรณี เด็กอาจเริ่มต้นด้วยการใส่เครื่องมือกันฟันล้มก่อน เพื่อป้องกันปัญหาบางอย่าง จากนั้นเมื่อฟันแท้ขึ้นครบและประเมินแล้วว่ายังมีปัญหาการเรียงตัวหรือการสบฟันที่แก้ไขไม่ได้ด้วยเครื่องมือกันฟันล้ม ก็อาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันแบบครบวงจร (Comprehensive Orthodontics) ต่อไปในภายหลัง

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถวินิจฉัยปัญหาของลูกได้อย่างแม่นยำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ลูกมีสุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่สวยงามค่ะ

8
เครื่องจักรอุตสาหกรรม โพสฟรี / ทาวน์โฮม Demi สาธุ 49 (Demi sathu 49)
« เมื่อ: วันที่ 26 มิถุนายน 2025, 21:48:32 น. »
ทาวน์โฮม Demi สาธุ 49 (Demi sathu 49)
เริ่มต้น 18.9 ลบ. - 37 ลบ.

Demi สาธุ 49 (Demi sathu 49)
พบกับทาวน์โฮมใหม่ จากแสนสิริ ถูกดีไซน์ภายใต้แนวคิด “ชีวิตสมดุล” ระหว่าง “ชีวิตเมือง” และ “ความสงบผ่อนคลาย” บนทำเลใจกลาง “สาธุประดิษฐ์ 49” เชื่อมต่อสู่ CBD สาทร-สุขุมวิท โครงการรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา และโรงพยาบาลชั้นนำ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              Demi สาธุ 49 (Demi sathu 49)
 เจ้าของโครงการ         แสนสิริ
 ราคา                      เริ่มต้น 18.9 ลบ. - 37 ลบ.

 ประเภทบ้าน             ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล           บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          10 ไร่ 2 งาน 34 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน              72 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด        1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน               ตั้งแต่ 23 ถึง 49 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย             ตั้งแต่ 212 ถึง 300 ตร.ม.
 จำนวนชั้น               3.5 ชั้น
 หน้ากว้าง                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค          สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (แปลงผักสวนครัว (Sansiri Backyard), พื้นที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ)

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน      สาทร, พระราม 3, พระราม 4, ยานนาวา
 ที่ตั้ง     ซ.สาธุประดิษฐ์ 49 แขวง บางโพงพาง เขต ยานนาวา กรุงเทพมหานคร

 ขนส่งสาธารณะ           ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเทา, สถานี(วัชรพล - ท่าพระ)(ไม่ระบุ)
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

9
หมอออนไลน์: หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (Phimosis)

ปกติหนังหุ้มปลายองคชาตของผู้ชายจะรูดเปิดจากปลายองคชาตขึ้นไปจนสุด คือพ้นจากส่วนของร่องหัวองคชาต (coronal sulcus) ได้ ผู้ชายบางคนอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตที่รัดตัว จนไม่สามารถรูดให้เปิดขึ้นได้ดังปกติ เรียกว่า หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (phimosis)

หนังหุ้มปลายองคชาตตีบอาจเป็นมากน้อยได้หลายลักษณะ ที่เป็นน้อยสุดคือรูดหนังหุ้มปลายขึ้นไปได้เกินกึ่งกลางของส่วนหัวองคชาต ที่เป็นมากสุดคือรูดหนังหุ้มปลายองคชาตแล้วไม่สามารถมองเห็นรูเปิดท่อปัสสาวะได้

โดยปกติทารกแรกเกิดจะยังคงมีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ เมื่ออายุมากขึ้นหนังหุ้มปลายองคชาตจะค่อย ๆ เปิดออกด้วยกลไกของการแข็งตัวตามกลไกธรรมชาติของร่างกายและขี้เปียก (smegma) จะคงเหลือหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ประมาณร้อยละ 1 ที่อายุครบ 16 มีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดและสามารถรูดจนสุด คือพ้นร่องหัวองคชาต (coronal sulcus)


สาเหตุ

เราสามารถแบ่งหนังหุ้มปลายองคชาตตีบออกเป็นชนิดปฐมภูมิ และทุติยภูมิ

1. ชนิดปฐมภูมิ เป็นความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่ทราบสาเหตุ

โดยปกติทารกแรกเกิดเกือบทุกคนจะยังคงมีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ ต่อมาหนังหุ้มปลายองคชาตจะค่อย ๆ เปิดออกด้วยกลไกของการแข็งตัวตามธรรมชาติของร่างกาย และหนังหุ้มปลายจะเปิดได้เต็มที่ราวครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีอายุ 10 ปี ส่วนใหญ่จะเปิดได้เต็มที่เมื่ออายุมากกว่า 16 ปี

เด็กที่เป็นหนังหุ้มปลายองคชาตตีบจะมีหนังหุ้มปลายตีบกว่าเด็กปกติ ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่แรกเกิด และมักตรวจพบเมื่ออายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นและปรึกษาแพทย์เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ยกเว้นในเด็กเล็กที่หนังหุ้มปลายตีบอย่างมากและมีอาการผิดปกติปรากฏชัดเจน

2. ชนิดทุติยภูมิ เป็นภาวะผิดปกติที่ไม่ได้เป็นมาโดยกำเนิด มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจเกิดจากโรคผิวหนังอักเสบบางชนิด (เช่น โรคเกล็ดเงิน, Lichen planus ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง เป็นต้น) หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบเรื้อรัง (chronic posthitis) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น เริม หนองใน ซิฟิลิส) การผ่าตัด การฉายรังสี เป็นต้น เกิดเป็นแผลเป็นดึงรั้ง ทำให้หนังหุ้มปลายเปิดไม่ได้

ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดภาวะปลายองคชาตอักเสบและติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป

อาการ

ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการแสดง อาการแสดงมักเกิดในผู้ที่เป็นมากหรือมีภาวะแทรกซ้อน อาทิ

    เด็กเล็ก อาจแสดงท่าทางของการเบ่งปัสสาวะ ร้องไห้เวลาปัสสาวะ ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือหนังหุ้มปลายองคชาตโป่งพองคล้ายลูกโป่งขณะปัสสาวะ บางรายอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) บวมแดง มีหนอง หรือมีอาการของโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (เช่น ไข้ ซึม คลื่นไส้ อาเจียน เบื่อนมและอาหาร ปัสสาวะขุ่น)
    เด็กโตและผู้ใหญ่ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก หรือถ่ายลำบาก รู้สึกเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ หรืออาจมีอาการเจ็บปวดเวลาองคชาตแข็งตัว บางรายอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) บวมแดง มีหนอง บางรายอาจมีภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด (paraphimosis) แทรกซ้อน กล่าวคือ หนังหุ้มปลายองคชาตเกิดการรัดรอบร่องหัวองคชาต มีลักษณะบวมแดง มีอาการเจ็บปวด ปัสสาวะลำบาก และปลายองคชาตอาจกลายเป็นสีม่วงคล้ำ


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออก

อาจเกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) ปลายองคชาตอักเสบ (balanitis)

ผู้ที่มีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งองคชาต เนื่องจากมีการระคายเคืองของขี้เปียก (smegma)

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง คือ ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด (paraphimosis) เนื่องจากหนังหุ้มปลายองคชาตตีบในระดับหนึ่ง รูดหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นแล้วไม่สามารถรูดกลับมาได้ ทำให้เกิดการบวมของหนังหุ้มปลายที่ติดคารัดรอบร่องหัวองคชาต หากเป็นมากขึ้นอาจเกิดการกดหลอดเลือดแดง ทำให้ปลายองคชาตขาดเลือดจนเนื้อตายได้ ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องไปโรงพยาบาลโดยด่วน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจพบหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นไม่ได้ปกติ

การตรวจร่างกายจะพบว่ามีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ และในเด็กเล็กอาจตรวจพบหนังหุ้มปลายองคชาตแคบมาก บางรายเล็กเท่ารูเข็ม

อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ บวมแดง มีหนอง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ นำหนองที่หนังหุ้มปลายไปตรวจหาเชื้อ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามลักษณะและความรุนแรงของโรค

ในรายที่เป็นไม่มากและไม่มีอาการอะไร ก็จะให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง (เช่น สอนพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรูดเปิดหนังหุ้มปลายองคชาตให้เด็กทีละน้อยเป็นประจำทุกวัน บางกรณีอาจแนะนำให้ใช้สเตียรอยด์ชนิดครีมทาช่วยให้หนังหุ้มปลายนุ่มและรูดเปิดได้ง่ายขึ้น) และนัดติดตามดูอาการต่อไป สำหรับเด็กเล็ก ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบอาจหายไปได้เองเมื่ออายุมากขึ้นหรือเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่ม

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้การรักษาตามภาวะที่พบ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ, ให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน หรือยาต้านเชื้อชนิดครีมทา รักษาหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ, ทำการแก้ไขภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด ซึ่งมีอยู่หลายวิธีรวมทั้งการผ่าตัดขริบปลาย เป็นต้น

ในรายที่ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็จะให้ยารักษาเบาหวาน

ในรายที่เป็นมาก มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนบ่อย หรือรุนแรง แพทย์จะรักษาโดยการตัดหนังหุ้มปลายออก เรียกว่า การขริบปลาย (circumcision)

ในบางราย แพทย์อาจทำการผ่าตัดแยกหนังหุ้มปลายองคชาตออกจากปลายองคชาตแทนการขริบปลาย วิธีนี้ช่วยรักษาหนังหุ้มปลายไว้ แต่มีโอกาสเกิดภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบซ้ำได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายปัสสาวะไม่ออก ถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่ง หนังหุ้มปลายองคชาตโป่งพองคล้ายลูกโป่งขณะปัสสาวะ มีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ มีอาการเจ็บปวดเวลาองคชาตแข็งตัว หรือหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นไม่เท่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ในรายที่มีการรักษาด้วยการขริบปลาย ต่อมาพบว่ามีอาการติดเชื้อเป็นหนองที่ปลายองคชาต หรือรอยแผลที่ขริบมีการอักเสบหรือเลือดออก หรือมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. สำหรับเด็กที่มีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบชนิดปฐมภูมิโดยกำเนิด ยังไม่มีวิธีป้องกัน ควรหาทางป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้วยการรีบไปปรึกษาแพทย์เมื่อสงสัยว่าจะมีภาวะนี้ และให้การดูแลรักษาตามที่แพทย์แนะนำ

2. สำหรับหนังหุ้มปลายองคชาตตีบชนิดทุติยภูมิซึ่งพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในบริเวณปลายองคชาต อาจป้องกันด้วยการรักษาโรคติดเชื้อนั้นให้ได้ผล ดังนี้

    ดูแลสุขอนามัยบริเวณปลายองคชาต ด้วยการทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นทุกวันในระหว่างอาบน้ำ โดยดึงหนังหุ้มปลายองคชาตให้เปิดออกอย่างช้า ๆ และล้างทำความสะอาดผิวหนังข้างใต้ เสร็จแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งทุกครั้ง แล้วรูดหนังหุ้มปลายให้กลับมาหุ้มปลายองคชาตตามเดิม และเพื่อป้องกันการระคายเคืองควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีน้ำหอมหรือผสมสารเคมีในการทำความสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้แป้งฝุ่น และสารระงับกลิ่นใส่ที่ปลายองคชาต
    ปัองกันไม่ให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    เมื่อสงสัยมีการอักเสบหรือมีแผลที่ปลายองคชาตและหนังหุ้มปลายองคชาต ควรรีบปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาให้หายขาด

ข้อแนะนำ

ปัจจุบัน ไม่แนะนำให้ทำการขริบปลายแก่เด็กทุกคน โดยที่ไม่มีภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ และถึงแม้เด็กมีหนังหุ้มปลายตีบไม่รุนแรง (ซึ่งไม่มีอาการผิดปกติ) ก็ไม่จำเป็นต้องทำการขริบปลาย เพราะภาวะนี้มักจะหายได้เองเมื่ออายุมากขึ้น

แพทย์จะทำการขริบปลาย เมื่อพบว่ามีภาวะหนังหุ้มปลายตีบอย่างมาก มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนบ่อย หรือรุนแรง

10
คอนโดติดรถไฟฟ้า ซีรอคโค บางนา 36 (Cerocco Bangna 36)
เริ่มต้น 1.79 ลบ. 

ซีรอคโค บางนา 36 (Cerocco Bangna 36)
คอนโดใจกลางเมืองบางนา สัมผัสกลิ่นอายการอยู่อาศัยสไตล์รีสอร์ทในทุกวัน สะดวกทุกการเดินทางใกล้ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และทางด่วน ตรงข้ามเซ็นทรัลบางนา และใกล้ BTS บางนา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                 ซีรอคโค บางนา 36 (Cerocco Bangna 36)
 เจ้าของโครงการ           เจ้าพระยามหานคร
 ราคา                        เริ่มต้น 1.79 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด           Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี           1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี             ตั้งแต่ 25.00 ถึง 37.82 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             5 ไร่ 3 งาน 98 ตร.ว.
 จำนวนตึก                 4 อาคาร
 จำนวนชั้น                 8 ชั้น
 จำนวนห้อง               752 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด         238 คัน (ยังไม่รวมจอดซ้อนคัน)
 ค่าบำรุงส่วนกลาง        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค            สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ซาวน่า, อื่นๆ (Studio Room), Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         ธนบุรี
 ที่ตั้ง         ถนน สมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:              ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานีหมอชิต - แบริ่ง(บางนา), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สถานี(ลาดพร้าว - สำโรง)(ศรีเอี่ยม)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
เซนทรัลบางนา
เมกาบางนา
Little Walk Bangna
True Digital Park
อิมพีเรียลเวิลด์ สําโรง
ซีคอน
พาราไดซ์พาร์ค
ไบเทคบางนา
Berkeley International School
Thai-Singapore InternationalSchool
โรงเรียนบางกอกพัฒนา
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
โรงพยาบาลบางนา
โรงพยาบาลไทยนครินทร์
โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 2

11
หากเด็กมีอาการฟันผุ ขณะจัดฟันเด็ก
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น มักพบได้บ่อยเพราะเด็กไทยส่วนใหญ่มักมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการตกค้าง เวลาที่เด็กแปรงฟันได้ไม่สะอาด ซึ่งในข้อนี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและสอนเด็กให้รู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่เด็กมีฟันน้ำนมผุจนรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟันก็อาจจะทำให้ฟันแท้มีปัญหาได้ เพราะเนื่องจากการที่ฟันน้ำนมหลุดออก ก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้ฟันแท้ที่กำลังสร้างฐานได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้ฟันแท้งอกขึ้นมาอย่างผิดปกติหรือบางครั้งเด็กอาจเกิดภาวะฟันแท้หาย


เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ ซึ่งในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ถ้าวงการทันตกรรมได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยเด็กที่มีอายุสี่ถึง 15 ปีก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้แล้วโดยไม่ต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบ ถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ


พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน แต่การเข้ารับการจัดฟันอาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมาได้ ทั้งนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้มาก คอยหมั่นสังเกตกรรมการแปรงฟันหรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อที่เด็กจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฟันผุ แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้วและเด็กเกิดมีอาการฟันผุจะต้องทำอย่างไร ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักพบได้บ่อยในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน
 
วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการเกิดอาการฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กที่ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะจัดฟันต้องมีการใส่เครื่องมือจัดฟันอย่างเข้าไปในช่องปาก ส่งผลให้เกิดช่องว่างหรือซอกเล็กๆ ระหว่างฟันและเครื่องมือ ที่แปรงสีฟันธรรมดาที่เราใช้กัน ไม่สามารถทำความสะอาดได้ทั่วถึง


เมื่อมีเศษอาหารติดบริเวณเครื่องมือ การทำความสะอาดฟันจึงทำได้ยากจำเป็นต้องใช้ความใส่ใจ เวลา และวิธีทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น แปรงขนาดเล็กที่สามารถชอนไชไปตามซอกฟันได้ ใช้ไหมขัดฟัน หากไม่ใส่ใจมากพอในเรื่องความสะอาดมากพอในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็จะทำให้เด็กฟันผุได้
มีโอกาสเกิดหินปูนเกาะจนเหงือกอักเสบได้  หรืออาจทำให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ นั่นเอง แล้วเมื่อเด็กฟันผุขณะจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะต้องพาเด็กเข้าพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขโดยทันที แต่ความจริงแล้วปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันก่อนการเข้ารับการจัดฟันนั้น ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียดเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาก่อนเข้ารับการจัดฟันเพื่อให้การจัดฟันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาแทรกซ้อน


แต่ในกรณีที่เด็กเกิดฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันนั้นจะต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วนเพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันได้หรืออาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณข้างเคียงซี่อื่นๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจมันสังเกตช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้ติดตามดูอาการและผลข้างเคียงต่างๆด้วย
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด หากเด็กมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทางเราสามารถตรวจและแก้ไขรักษาได้ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะได้ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่สดใสสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

12
หมอประจำบ้าน: มะเร็งปอด (Lung cancer)

มะเร็งปอด พบมากเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในผู้ชาย และอันดับที่ 4 ของมะเร็งในผู้หญิง พบมากในช่วงอายุ 50-75 ปี มะเร็งปอดมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ มะเร็งปอดชนิดเซลล์เยื่อบุ (squamous cell carcinoma) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ มะเร็งปอดชนิดเซลล์ต่อมเมือก (adenocarcinoma) ซึ่งพบในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และชนิด small cell carcinoma ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ พบได้น้อยกว่าชนิดอื่น แต่มีความร้ายแรงสามารถแพร่กระจายเร็ว


สาเหตุ

ร้อยละ 80-90 เกิดจากการสูบบุหรี่ ยิ่งสูบมากและนานก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น ร้อยละ 5 เกิดจากการรับควันบุหรี่จากผู้อื่น

อาจเกิดจากการสัมผัสสารใยหิน (แอสเบสตอส) จากการทำงาน เช่น การก่อสร้างอาคาร การทำงานที่เกี่ยวกับผ้าเบรก คลัตช์ ฉนวนกันความร้อน อุตสาหกรรมสิ่งทอ เหมืองแร่ เป็นต้น ซึ่งใช้เวลาสัมผัสนาน 15-35 ปีกว่าจะเป็นมะเร็งปอด ถ้าสูบบุหรี่ด้วยก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการสัมผัสเรดอน (radon ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในหินและดิน กระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดิน อาจพบตามเหมืองใต้ดิน อาคารที่ใช้วัสดุก่อสร้างที่ปนเปื้อนก๊าซนี้) มลพิษทางอากาศ (เช่น ควันพิษจากรถยนต์) โรงงานถลุงเหล็กนิกเกิล โครเมียม แคดเมียม โรงงานน้ำมัน ดินน้ำมัน เขม่าจากโรงงาน การดื่มน้ำที่มีสารหนูเจือปน การกินผักและผลไม้น้อย

บางครั้งพบมะเร็งปอดในผู้ป่วยที่มีแผลเป็นในปอดจากโรคปอด เช่น วัณโรคปอด ถุงลมปอดโป่งพอง ภาวะเยื่อพังผืด (fibrosis) ในปอด เป็นต้น

บางรายอาจเป็นมะเร็งปอดโดยไม่มีประวัติการสูบบุหรี่หรือการสัมผัสสารก่อมะเร็งมาก่อนก็ได้

ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งปอดมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ


อาการ

ระยะแรกเริ่มจะไม่มีอาการ ต่อมาจะมีอาการไอเรื้อรัง อาจไอมีเลือดปนเสมหะ หรือไอออกเป็นเลือดสดจำนวนมาก (หากมะเร็งลามถูกหลอดเลือด) หายใจมีเสียงดังวี้ด (หากหลอดลมถูกอุดกั้นจากก้อนมะเร็ง) หรือเจ็บหน้าอกเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน (หากลามไปที่เยื่อหุ้มปอด หรือกระดูกซี่โครง) อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด

ต่อมาผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หายใจหอบเหนื่อย (จากภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด) และอาจมีปอดอักเสบแทรกซ้อน


ภาวะแทรกซ้อน

มะเร็งปอดที่เป็นรุนแรงอาจทำให้มีอาการเจ็บปวดมาก หายใจหอบเหนื่อย ไอออกเป็นเลือดรุนแรง

หากมะเร็งลามไปยังอวัยวะข้างเคียง ก็อาจมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบาก ปวดแขน แขนชาและอ่อนแรง หนังตาตกและรูม่านตาหดเล็กข้างหนึ่ง มีอาการบวมที่ใบหน้า คอ และหน้าอกส่วนบน หัวใจเต้นผิดจังหวะ

ในระยะท้าย มะเร็งมักจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอหรือแอ่งไหปลาร้า และอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง (มีอาการปวดศีรษะ สับสน ชัก) ตับ (ตับโต ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน) ไขสันหลัง (ขาชาและอ่อนแรง) กระดูก (ปวดกระดูก) เป็นต้น

บางครั้งผู้ป่วยอาจมาปรึกษาแพทย์ด้วยอาการที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะเหล่านี้มากกว่าอาการของมะเร็งปอดโดยตรง (ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด)

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ปอด การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจหาเซลล์มะเร็งในเสมหะ การใช้กล้องส่องตรวจหลอดลม (bronchoscopy) การใช้เข็มเจาะเนื้อปอดนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (needle biopsy)

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด รังสีบำบัด เคมีบำบัด อิมมูนบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs) ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและระยะของมะเร็งที่พบ

เนื่องจากมะเร็งปอดมักจะลุกลามเร็วและวินิจฉัยได้ในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายออกนอกปอดแล้ว มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีต่ำกว่าร้อยละ 10 (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่เรียกว่า small cell carcinoma ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 25 ของมะเร็งปอดทั้งหมด มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 2) การรักษาจึงเป็นเพียงการประทังอาการซึ่งมักจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงระยะหนึ่ง

นอกจากในรายที่ตรวจพบในระยะแรก ๆ หรือเป็นชนิดที่ลุกลามช้าหรือตอบสนองต่อการรักษา ก็อาจอยู่ได้นานหลายปี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 50-90)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ไอหรือเจ็บหน้าอกเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเต็มที่ แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    ไม่สูบบุหรี่
    เลิกบุหรี่สำหรับผู้ที่เคยสูบ หากสามารถเลิกได้ก็จะลดความเสี่ยงลงได้มาก แม้จะสูบมานานก็ตาม
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ สารใยหิน มลพิษทางอากาศ และรังสีเรดอน (radon)
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ

ข้อแนะนำ

1. มะเร็งปอดแม้จะพบบ่อยในผู้ที่สูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ ดังนั้นทุกคนไม่ว่าจะมีประวัติสูบบุหรี่หรือไม่ก็ตาม หากมีอาการที่น่าสงสัย เช่น ไอหรือเจ็บหน้าอกเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

2. ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจหามะเร็งปอดระยะแรกที่ได้ผลดี ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่รอให้มีอาการแสดงชัดแล้วค่อยไปพบแพทย์ให้ตรวจรักษา ซึ่งมักจะเป็นระยะที่มะเร็งมีการลุกลามแล้ว และรักษาได้ผลไม่สู้ดี ดังนั้นควรหาทางป้องกันด้วยการไม่สูบบุหรี่หรือเลิกบุหรี่ และหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

13
เมื่อพบความผิดปกติ ของท่อลมร้อนควรทำอย่างไร?

เมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติของท่อลมร้อนในโรงงานหรือกิจการของคุณ การตอบสนองที่รวดเร็วและถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่รุนแรงต่ออุปกรณ์, สินค้า, และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของบุคลากร นี่คือขั้นตอนที่คุณควรดำเนินการ:

1. ประเมินความเร่งด่วนและหยุดระบบทันที (Assess Urgency & Immediate Shutdown)

ประเมินความเสี่ยง: สิ่งแรกที่ต้องทำคือประเมินว่าความผิดปกตินั้นมีความเสี่ยงสูงหรือต่ำ
ความเสี่ยงสูง: หากพบเห็นควัน, เปลวไฟ, กลิ่นไหม้รุนแรง, ท่อร้อนจัดผิดปกติจนน่าอันตราย (เช่น สีเปลี่ยน, มีเสียงปะทุ), ท่อบิดเบี้ยวหรือทรุดตัวอย่างรุนแรง, หรือมีสารเคมีอันตรายรั่วไหลออกมา ให้ถือว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน
ความเสี่ยงต่ำ: เช่น มีเสียงลมรั่วเบาๆ, ฉนวนเสียหายเล็กน้อย, หรืออุณหภูมิที่ปลายทางลดลงเล็กน้อย

หยุดการทำงานของระบบ (Emergency Shutdown):
หากเป็นความเสี่ยงสูง: ให้ หยุดการทำงานของแหล่งกำเนิดความร้อน (Heater/Furnace) และ พัดลม (Fan/Blower) ทันที เพื่อตัดการจ่ายลมร้อนและพลังงานเข้าสู่ระบบท่อ วิธีการหยุดอาจรวมถึงการกดปุ่มหยุดฉุกเฉิน (Emergency Stop) หรือตัดกระแสไฟฟ้าที่เมนสวิตช์หลักของระบบ
หากเป็นความเสี่ยงต่ำ: อาจยังไม่จำเป็นต้องหยุดระบบทันที แต่ควรรีบดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างเร่งด่วน


2. แจ้งผู้รับผิดชอบและทีมงานที่เกี่ยวข้อง (Notify Responsible Personnel)

ผู้บังคับบัญชา/ผู้จัดการ: แจ้งให้ผู้ดูแลโรงงานหรือผู้จัดการฝ่ายผลิตทราบถึงสถานการณ์ทันที
ทีมซ่อมบำรุง/ช่างเทคนิค: ติดต่อทีมซ่อมบำรุงของโรงงาน หรือช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ HVAC/ท่อลมร้อนโดยเฉพาะ เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบและแก้ไขปัญหา
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (Safety Officer): หากเป็นสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย เพื่อให้มีการประเมินและดำเนินการตามแผนฉุกเฉินของโรงงาน


3. ปิดกั้นพื้นที่และป้องกันอันตราย (Secure Area & Mitigate Hazards)

กั้นพื้นที่: หากมีลมร้อนรั่วไหล, พื้นผิวท่อร้อนจัด, หรือมีความเสี่ยงต่อการพังทลาย ให้ใช้เทป, กรวย, หรือแผงกั้น เพื่อกันไม่ให้พนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้บริเวณนั้น
ระบายอากาศ (ถ้าทำได้และปลอดภัย): หากมีสารปนเปื้อนหรือควันรั่วไหล และมั่นใจว่าปลอดภัยที่จะทำ (เช่น มีระบบระบายอากาศฉุกเฉินที่แยกต่างหาก) ให้เปิดใช้งานเพื่อลดการสะสมของสารอันตราย
ห้ามแก้ไขเอง: โดยเด็ดขาด ห้ามพนักงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทางพยายามซ่อมแซมหรือแก้ไขปัญหาเอง เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้


4. รวบรวมข้อมูลเบื้องต้น (Gather Initial Information)

หากสถานการณ์เอื้ออำนวย ให้จดบันทึกหรือแจ้งข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่สังเกตได้:

ลักษณะความผิดปกติ: เห็นอะไร (ควัน, ไอ, รอยรั่ว, การบิดเบี้ยว), ได้ยินอะไร (เสียงหอน, เสียงรั่ว), สัมผัสอะไร (พื้นผิวร้อนจัด), กลิ่นอะไร (กลิ่นไหม้, กลิ่นเคมี)
ตำแหน่งที่เกิดเหตุ: ระบุจุดที่เกิดความผิดปกติบนท่อลมร้อนให้ชัดเจนที่สุด
เวลาที่พบ: บันทึกเวลาที่สังเกตเห็นความผิดปกติ
ผลกระทบเบื้องต้น: มีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตอย่างไรบ้าง (เช่น อบไม่แห้ง, อุณหภูมิตก)


5. ให้ข้อมูลแก่ผู้เชี่ยวชาญ (Provide Information to Experts)

เมื่อทีมช่างเทคนิคหรือผู้เชี่ยวชาญมาถึง ให้ข้อมูลที่รวบรวมไว้ทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้พวกเขาวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

อธิบายสถานการณ์: เล่าสิ่งที่สังเกตเห็นและสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน
ประวัติการบำรุงรักษา: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงรักษาล่าสุดของระบบท่อลมร้อน (ถ้ามีบันทึก)
แปลน/แผนผังระบบ: หากมีแผนผังระบบท่อลมร้อน ให้ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบ เพื่อช่วยในการระบุตำแหน่งปัญหา


6. ดำเนินการซ่อมแซมและตรวจสอบหลังแก้ไข (Repair & Post-Repair Verification)
ซ่อมแซม: ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจสอบวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และดำเนินการซ่อมแซมตามขั้นตอนที่ถูกต้องและปลอดภัย
ทดสอบระบบ: หลังการซ่อมแซม ควรมีการทดสอบการทำงานของระบบท่อลมร้อนอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว และระบบสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
บันทึกการซ่อมแซม: บันทึกรายละเอียดการซ่อมแซม, วันที่, ชิ้นส่วนที่เปลี่ยน, และผู้ดำเนินการ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการบำรุงรักษาในอนาคต


การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติของท่อลมร้อน และช่วยให้โรงงานของคุณสามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพโดยเร็วที่สุด

14
การป้องกัน สายยางให้อาหารหลุด ในการให้ อาหารสายยาง

การให้อาหารทางสายยาง เป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่งของทางการแพทย์ ซึ่งจะใช้ในกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถกลืนอาหารเอง การให้อาหารทางสายยาง มีความจำเป็นในผู้ป่วยจำนวนมาก เพราะเป็นทางเลือกแรกในการให้อาหาร เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ แต่การให้อาหารทางสายยาง มักเกิดปัญหาหลายอย่างขณะที่ทำการให้อาหาร ไม่ว่าจะเป็นการติดขัดของอาหารปั่นผสมที่ให้ผู้ป่วย หรือผุ้ป่วยเกิกการสำลักอาหาร รวมไปถึง สายให้อาหารเกิดหลุด


ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ถือเป็นอุปสรรคต่อการได้รับอาหารของผู้ป่วย ทำให้เกิเดปัญหาต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นการได้รับอาหารที่ไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายผู้ป่วย สำหรับสาเหตุที่ทำให้สายยางให้อาหารหลุดนั้น เกิดได้จากภาวะการขาดดุลของอีเล็คโทรลัยต์ การอาเจียน หรือการไอ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้สายยางให้อาหารหลุด หรือบางกรณีอาจจะเป็นการดึงรั้งสายยางของผู้ป่วย ที่อาจจะมีอาการเจ็บปวด หรือรำคาญ จึงทำให้สายยางหลุดออกจากตำแหน่งที่ให้อาหาร นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเหนียวของพลาสเตอร์ที่ใช้ยึดตัวสายยางให้อาหารที่มีความเหนียวไม่เพียงพออีกด้วย หลายปัจจัยที่ผู้ดุแลจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพียงพอต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากที่สุด เพื่อรักษาสมดุลของระบบการย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ให้เป็นปกติ

สำหรับวิธีการป้องกันสายยางให้อาหารหลุด ก็คือ อย่างแรกต้องทำความเข้าใจกับผู้ป่วยก่อนว่า การให้อาหารทางสายยางมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงสภาพของสายยางให้อาหารที่อยู่ภายในร่างกาย เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน และต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า หากผู้ป่วยเกิดความรำคาญ หรือมีอาการเจ็บบริเวณจุดที่สอดใส่สายยาง จะต้องแจ้งให้ผู้ดูแลหรือพยาบาลทราบ ห้ามดึงสายให้อาหารออกเองเด็ดขาด พลาสเตอร์ที่ใช้ติดเพื่อไม่ให้สายยางให้อาหารขยับจะต้องมีความเหนียวติดทนนาน เพราะถ้าหากสายยางให้อาหารเกิดเลื่อนจากตำแหน่งเดิมจะต้องรีบแจ้งผู้ดูแล เพื่อทำการแก้ไขโดยด่วน

อย่างไรก็ตามจะต้องดูแลให้ผู้ป่วยดึงรั้งสายให้อาหารขณะที่กำลังให้อาหาร เพราะอาจจะเกิดผลเสียต่อผู้ป่วยได้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดรอบบริเวณตำแหน่งที่ให้อาหาร ต้องให้แห้งเพราะอาจจะเกิดการติดเชื้อของบาดแผลได้ ในกรณีที่มีการเจาะบริเวณหน้าท้อง และผู้ดูแลหรือพยาบาลจะต้องมีการดูดเสมหะของผุ้ป่วยก่อนการให้อาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการไอ หรือสำลักขณะให้อาหาร เพราะจะทำให้สายยางให้อาหารเกิดหลุดหรือเคลื่อนได้ และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ดูแลหรือพยาบาลควรเข้าให้ความช่วยเหลือทันที และทำการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างทันเวลา

หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียน ผู้ดุแลจะต้องเข้าให้การช่วยเหลือทันที และดูแลไม่ให้สายยางให้อาหารหลุด ดูแลสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยด้วยหากผู้ป่วยมีอาหารเป็นหวัด จะต้องได้รับการรักษาทันที วิธีป้องกันเหล่านี้ถือว่า ผู้ที่ดูแลจะต้องมีความรู้พื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง เพราะการให้อาหารทางสายยางจะต้องมีความละเอียด ลออเป็นอย่างมาก ต้องคอยสังเกตอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการให้อาหารทางสายยาง และยังจะต้องเฝ้าสังเกตอาหารผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด


หากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อบริเวณบาดแผลที่ทำการเจาะเพื่อให้อาหาร แพทย์จะได้เข้ารับการตรวจและรักษาได้ทันเวลา ผู้ดูแลหรือญาติจะต้องมีการเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้การรักษาความสะอาดก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง จะเกิดภาวการณ์ติดเชื้อได้ง่าย เพราะมีการใช้สายยางให้อาหาร มีการเจาะบริเวณหน้าท้อง และเสี่ยงต่อการอักเสบคิดเชื้อเป้นอย่างมาก ก่อนและหลังการให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วย ผู้ดูแลจะต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อและความสะอาดของบาดแผลด้วย ฉะนั้นปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆจะไม่เกิดขึ้น หากผุ้ดุแลรู้วิธีการดูแลที่ถูกต้อง และทำให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยมากที่สุดในการให้อาหารทางสายยาง

15
ตรวจอาการ เป็นลม (Syncope/Fainting)

คำว่า เป็นลม ในที่นี้หมายถึง อาการที่อยู่ ๆ ก็หมดสติทรุดลงกับพื้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเป็นอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลับฟื้นคืนสติได้เองภายในเวลาอันสั้น ทั้งนี้ เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองน้อยลง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนชั่วขณะ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิตจากสาเหตุต่าง ๆ

ชาวบ้านนิยมเรียกอาการเป็นลมนี้ว่า "โรควูบ"

เป็นลมเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย และจะพบบ่อยขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ถ้าพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปีมักเป็นลมธรรมดา ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นต้นเหตุ และส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงครั้งเดียว จะไม่มีอาการเป็นลมกำเริบซ้ำอีก แต่ถ้าพบในวัยกลางคนและผู้สูงอายุก็อาจมีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) ร่วมด้วย หรือเกิดจากสาเหตุที่รุนแรงได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะมีอาการเป็นลมซ้ำซากได้

โดยภาพรวม ผู้ที่มีอาการเป็นลมทั้งหมด (ทุกกลุ่มวัยและจากทุกสาเหตุ) อาจมีโอกาสเป็นลมซ้ำได้อีกประมาณร้อยละ 30

สาเหตุ

อาการเป็นลมอาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลาย ๆ สาเหตุร่วมกัน ดังต่อไปนี้

1. กลุ่มที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความตึงตัวของหลอดเลือด (vascular tone) หรือปริมาตรเลือด (blood volume) ได้แก่

(1) เป็นลมจากหลอดเลือดและประสาทเวกัส (vasovagal syncope หรือ neurocardiogenic syncope) พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของอาการเป็นลมทั้งหมดและเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง ซึ่งมีชื่อเรียกแต่เดิมว่า เป็นลมธรรมดา (common fainting) มักเกิดกับวัยหนุ่มสาว แต่ก็อาจพบได้ในทุกวัย ผู้ป่วยจะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว มักเกิดอาการเป็นลมขณะอยู่ในท่ายืน มักมีเหตุกระตุ้น เช่น อยู่ในฝูงชนแออัด อากาศร้อนอบอ้าว หรืออยู่กลางแดดที่ร้อนจัด ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า อดนอน หลังกินข้าวอิ่ม ลุกจากท่านอนราบขึ้นยืนเร็ว ๆ หรือยืนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง มีความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือเสียใจอย่างกะทันหัน หรือเห็นเลือดแล้วรู้สึกกลัว ถูกเจาะเลือด เป็นต้น เป็นเหตุให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และหลอดเลือดที่เท้า 2 ข้างขยายตัว มีเลือดคั่งอยู่ที่เท้า ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง จึงมีเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เกิดอาการเป็นลมล้มฟุบทันที

(2) เป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง (situational syncope) ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาแบบเดียวกับข้อ (1) ทำให้มีอาการเป็นลมทันทีขณะมีกิริยานั้น ๆ ตัวอย่างเช่น

    ขณะไอหรือจามแรง ๆ มักพบในคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
    ขณะกลืนอาหาร มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับคอหอย หรือหลอดอาหาร
    ขณะถ่ายปัสสาวะ หลังจากมีปัสสาวะเต็มกระเพาะ (ปวดถ่ายสุด ๆ) พบบ่อยในผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ขณะถ่ายอุจจาระ ในคนที่ท้องผูก หรือมีการเบ่งแรง ๆ
    ขณะหันคอ โกนหนวดด้วยเครื่องไฟฟ้า หรือใส่เสื้อรัดคอ พบในผู้สูงอายุที่มีความไวของคาโรติดไซนัส (carotid sinus hypersensitivity)

(3) เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน (postural syncope) ผู้ป่วยจะรู้สึกเป็นปกติดีขณะอยู่ในท่านอนราบ แต่เมื่อลุกขึ้นยืนจะมีความดันเลือดลดลง จนเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมทันที มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่ใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับปัสสาวะ ผู้ที่มีภาวะตกเลือด (เช่น มีเลือดออก ถ่ายอุจจาระดำ ประจำเดือนออกมาก) หรือมีภาวะขาดน้ำ (เช่น ท้องเดิน อาเจียน มีไข้สูง ดื่มน้ำน้อย เหงื่อออกมากเนื่องจากออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะความดันตกในท่ายืน"

2. กลุ่มที่เกิดจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disorders) ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดไม่ได้เต็มที่ เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เกิดอาการเป็นลม เรียกว่า เป็นลมจากโรคหัวใจ (cardiac syncope) อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

    หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเต้นช้าหรือเร็ว หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ
    โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
    ภาวะหัวใจวาย
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy)
    โรคลิ้นหัวใจตีบ (aortic stenosis, mitral stenosis)
    เนื้องอกในหัวใจ (atrial myxoma)
    ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (aortic dissection) (ดู "โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง")
    ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด (ดู "ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด") ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเป็นลม

3. กลุ่มที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disorders) เช่น หลอดเลือดสมองตีบตัน หรือแตก (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง สมองขาดเลือดชั่วขณะ อัมพาตครึ่งซีก") ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการเป็นลม เรียกว่า เป็นลมจากโรคสมอง (neurologic syncope) สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ หลอดเลือดแดง vertebrovascular artery ขาดเลือด (vertebrovascular insufficiency) โรคไมเกรนที่มีการตีบของหลอดเลือดแดง basilary artery ชั่วขณะ

4. กลุ่มโรคที่หมดสติชั่วขณะคล้ายอาการเป็นลม มีอาการหมดสติที่ไม่เกี่ยวกับเซลล์สมองขาดเลือดแต่เกี่ยวกับสาเหตุอื่น เช่น

    อาการชัก เช่น โรคลมชัก ขณะชักจะมีอาการหมดสติชั่วขณะ
    ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาจมีอาการเป็นลมชั่วขณะ แล้วฟื้นสติได้เอง แต่บางคนก็หมดสติไปเลย มีสาเหตุจากการอดอาหารนาน หรือเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเกินขนาด ออกแรงมากเกิน หรือกินอาหารผิดเวลา หรือกินอาหารได้น้อย
    ภาวะซีด หรือโลหิตจางจากสาเหตุต่าง ๆ
    โรคทางจิตประสาท เช่น โรคกังวล โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน เป็นต้น อาจมีอาการเป็นลมแน่นิ่งชั่วขณะร่วมด้วย

5. กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ บางรายอาจมีอาการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ซึ่งพบประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่มีอาการเป็นลม

อาการ

เป็นลมธรรมดา มักมีอาการเป็นลมขณะอยู่ในท่ายืน คือ อยู่ดี ๆ รู้สึกใจหวิว แขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่ไหว ทรุดลงนอนกับพื้น ไม่รู้สึกตัวหรือหมดสติอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ฟื้นคืนสติได้เองภายในไม่กี่วินาทีถึง 1 นาทีเป็นส่วนใหญ่ (ส่วนน้อยอาจหมดสตินานเกิน 2 นาที) โดยร่างกายจะกลับเป็นปกติดีในเวลาไม่นาน บางรายอาจรู้สึกสับสน (แต่จะเป็นอยู่นานไม่เกิน 30 วินาที) อาจจำเหตุการณ์ช่วงที่เป็นลมล้มฟุบลงไม่ได้ และหลังจากฟื้นคืนสติ อาจรู้สึกอ่อนเพลียอยู่นานประมาณ 30 นาที

บางคนก่อนจะเป็นลมอาจมีอาการเตือนล่วงหน้า (เช่น ศีรษะเบาหวิว วิงเวียน ตัวโคลงเคลง ตาลาย มองเห็นภาพเป็นจุดสีดำหรือเทา หรือตามัวลง หูอื้อหรือมีเสียงดังในหู คลื่นไส้ เหงื่อออก ใจหวิว ใจสั่น หน้าซีด อ่อนแรง) อยู่นานเป็นวินาทีถึง 2-3 นาที แล้วก็เป็นลมฟุบ หมดสติ

เป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง มีอาการคล้ายกับอาการเป็นลมธรรมดา แต่จะมีสาเหตุกระตุ้นชัดเจน เช่น ไอ ขณะกลืนอาหาร เบ่งถ่าย หันคอ เป็นต้น

เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน มีอาการหน้ามืดเป็นลมทันทีที่ลุกขึ้นยืน ในขณะที่อยู่ในท่านอนราบจะรู้สึกสบายดี อาจมีอาการกำเริบซ้ำได้บ่อย อาจมีประวัติเป็นเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือกินยาหรืออมยาใต้ลิ้นก่อนเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำหรือเลือดออก (เช่น ถ่ายดำ มีประจำเดือนออกมาก)

เป็นลมจากโรคหัวใจ พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ) หรือสูบบุหรี่ ก่อนเป็นลมหมดสติอาจมีอาการใจสั่น เจ็บหน้าอก หรือหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการเป็นลมขณะใช้แรง (เช่น ยกของหนัก ทำงานหนัก) หรือขณะออกกำลังกาย และอาจเป็นลมขณะอยู่ในท่านอน ท่านั่ง หรือท่ายืนก็ได้

เป็นลมจากโรคสมอง พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรังหรือสูบบุหรี่ ก่อนเป็นลมหมดสติอาจมีอาการปวดศีรษะ บ้านหมุน เห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้หรือไม่ชัด กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ขณะเป็นลมหมดสติ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำงานกับเครื่องจักร หรือว่ายน้ำ เป็นอันตรายได้ หรืออาจล้มฟุบ หรือตกจากที่สูง ได้รับบาดเจ็บ เช่น บาดแผล กระดูกหัก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

สำหรับผู้ที่เป็นลมซึ่งพบว่ามีโรคประจำตัวร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมอง) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่พบร่วมตามมาได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติโรคการเจ็บป่วย การใช้ยา เหตุการณ์ในช่วงที่เป็นลม (เช่น ก่อนจะเป็นลมกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน) สาเหตุที่กระตุ้นให้เป็นลม (เช่น อดนอน อดข้าว เห็นเลือด เหนื่อยล้า มีอาการเจ็บปวด มีเรื่องตื่นเต้น ตกใจ กลัว) และการตรวจร่างกายเป็นหลัก อาจมีสิ่งตรวจพบ เช่น

เป็นลมธรรมดาและเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ขณะเป็นลมอาจตรวจพบอาการหน้าซีด มือเท้าเย็น มีเหงื่อออกเป็นเม็ดทั่วใบหน้าและลำตัว ชีพจรเต้นช้า (ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที) รูม่านตาขยายเท่ากันทั้ง 2 ข้าง และหดลงทันทีเมื่อถูกแสง

เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน การวัดความดันโลหิตในท่ายืน (หลังยืนขึ้น 2-5 นาที) เทียบกับท่านอน พบว่า ในท่ายืนความดันช่วงบนลดลง > 20 มม.ปรอท หรือความดันช่วงล่างลดลง > 10 มม.ปรอท หรือความดันช่วงบนในท่ายืน < 90 มม.ปรอท

ในรายที่มีปริมาตรเลือดลดลง (เช่น ขาดน้ำ เสียเลือด) ชีพจรในท่ายืนอาจเพิ่ม > 20 ครั้ง/นาที ผู้ป่วยอาจมีภาวะซีด หรือภาวะขาดน้ำ (เช่น ริมฝีปากแห้ง) ร่วมด้วย

เป็นลมจากโรคหัวใจ อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ การตรวจฟังหัวใจอาจได้ยินเสียงฟู่ (murmur) บางรายอาจพบภาวะหัวใจวาย

เป็นลมจากโรคสมอง การใช้เครื่องฟังตรวจตรงหลอดเลือดแดงที่คออาจได้ยินเสียงฟู่ (carotid bruit) อาจพบอาการแขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตสูง

ในหญิงตั้งครรภ์ หรือในรายที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว หรือมีอาการเป็นลมซ้ำซาก แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ดูภาวะซีด ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด อิเล็กโทรไลต์ในเลือด เป็นต้น) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (holter monitor) การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiogram) การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ในรายที่มีอาการเป็นลมซ้ำซากโดยหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน อาจทำการตรวจที่เรียกว่า "การทดสอบด้วยเตียงที่ปรับเอียง (tilt table test)" โดยทำการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของชีพจรและความดันโลหิต เมื่อจัดเตียงตรวจให้ผู้ป่วยยืนทำมุมในองศาต่าง ๆ การทดสอบนี้จะช่วยวินิจฉัยอาการเป็นลมจากหลอดเลือดและประสาทเวกัส (vasovagal syncope) รวมทั้งภาวะความดันตกในท่ายืน


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ ดังนี้

1. ถ้าเป็นลมธรรมดา หากผู้ป่วยรู้สึกตัวดีแล้ว และตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการป้องกันและดูแลเบื้องต้นหากมีอาการกำเริบใหม่

สำหรับผู้ที่เป็นลมบ่อยโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน และมีผลต่อการดำเนินชีวิต หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย อาทิ ยากลุ่ม mineralocorticoid เช่น ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone), ยาหดหลอดเลือด (vasoconstrictor) เช่น ไมโดดรีน (midodrine), ยากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitors เช่น ฟลูออกซีทิน หรือเซอร์ทราลีน (sertraline)

หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดใส่ตัวคุมจังหวะหัวใจ (pacemaker)

2. ถ้าเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ก็จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือควบคุมอากัปกิริยาที่เป็นสาเหตุ เช่น การไอ การเบ่งถ่าย เป็นต้น ถ้าเกิดจากความไวของคาโรติดไซนัสก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อหรือเน็กไทรัดคอ ใช้มีดโกนไฟฟ้าแทนมีดโกนธรรมดา

3. ถ้าเป็นลมจากความดันตกในท่ายืน ก็แก้ไขตามสาเหตุ เช่น ภาวะขาดน้ำหรือเสียเลือด ก็ให้น้ำเกลือหรือให้เลือด หากเกิดจากยาก็ปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม เป็นต้น

แนะนำให้ผู้ป่วยลุกขึ้นช้า ๆ จากท่านอนเป็นท่านั่ง แล้วจากท่านั่งจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน การขยับขาก่อนลุกขึ้นก็อาจทำให้เกิดอาการน้อยลง (เนื่องเพราะสามารถเพิ่มปริมาตรเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้) นอกจากนี้ การนอนศีรษะสูงหรือใช้ถุงรัดน่อง (compression stocking) ก็อาจมีส่วนช่วยลดอาการได้

ในรายที่มีอาการบ่อย ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้ยา เช่น ยากลุ่ม mineralocorticoid-ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone), ไมโดดรีน (midodrine) (ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะความดันตกในท่ายืน")

4. ถ้าเป็นลมจากโรคหัวใจหรือโรคสมอง อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อพิจารณาให้ยารักษาหรือผ่าตัดแก้ไข

สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ แพทย์อาจผ่าตัดใส่อุปกรณ์คุมจังหวะหัวใจ ได้แก่ pacemaker สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า, implantable cardioverter-defibrillator สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว

ผู้ป่วยที่เป็นลมจากโรคหัวใจหรือโรคสมอง ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นอาจมีโอกาสตายหรือพิการได้

5. ถ้าเป็นลมจากโรคทางจิตประสาท (เช่น โรคกังวล โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน เป็นต้น) หรือสาเหตุอื่น (เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะซีด โรคลมชัก ไมเกรน เป็นต้น) ก็จะให้การรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติที่พบ


การดูแลตนเอง

หากพบผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ควรทำการปฐมพยาบาล

ผู้ป่วยแม้ว่าจะฟื้นสติได้เอง และมีความรู้สึกตัวเป็นปกติดีแล้ว ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทุกราย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) หรือกินยารักษาโรคอยู่ประจำ สงสัยมีภาวะผิดปกติของร่างกาย ผู้ที่เคยเป็นลมมาก่อนหรือรู้สึกคล้ายจะเป็นลมอีก หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ชัก เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ชีพจรเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซีด ถ่ายอุจจาระดำ มีเลือดออก ปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น) ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการเป็นลมใหม่ หรือมีอาการผิดปกติ (เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอก แขนขาชาหรืออ่อนแรง กลืนลำบาก พูดไม่ขัด เดินเซ เป็นต้น) หรือมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)


การปฐมพยาบาลคนเป็นลม

เมื่อพบผู้ป่วยเป็นลม ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

1. ขั้นตอนแรกสุดคือ รีบจับผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะต่ำ (ไม่ต้องหนุนหมอน) เท้ายกสูง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น และหันศีรษะไปด้านข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ

2. ปลดเสื้อผ้า เข็มขัด รวมทั้งสิ่งรัดคอ (เช่น เน็กไท ผ้าพันคอ กระดุมคอ) ให้หลวม

3. ห้ามคนมุงดู เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

4. ถ้าตัวเย็นหรืออากาศเย็น ห่มผ้าให้อบอุ่น

5. ขณะที่ยังไม่ฟื้น ห้ามให้น้ำหรืออาหารทางปาก

6. เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว อย่าให้ลุกขึ้นทันที อาจทำให้เป็นลมอีกได้ ควรให้นอนพักต่ออีก 15-20 นาที หรือจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ และตรวจดูว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือไม่

7. เมื่อผู้ป่วยฟื้นคืนสติแล้ว และเริ่มกลืนได้ อาจให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ (ถ้ารู้สึกกระหาย) หรือให้ดื่มน้ำหวาน (ถ้ารู้สึกหิว)

8. แม้ว่าผู้ป่วยจะฟื้นดีแล้ว ก็ควรส่งไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุ

9. ถ้าผู้ป่วยหมดสตินานเกิน 2-3 นาที ควรให้การปฐมพยาบาลแบบอาการหมดสติ หรือขณะที่หมดสติ ถ้าพบว่าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการกู้ชีวิต (CPR) ด้วยการกดหน้าอก (ปั๊มหัวใจ) แล้วนำส่งโรงพยาบาลทันที


การป้องกัน

1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ๆ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัดและการสูบบุหรี่ หาทางผ่อนคลายความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ

2. บริโภคอาหารสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักตัว และมีสุขนิสัยในการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคต่าง ๆ

3. เมื่อมีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น) ควรดูแลรักษาอย่างจริงจัง

4. ผู้ที่เคยเป็นลมธรรมดา ควรปฏิบัติตัวดังนี้

    หลีกเลี่ยงเหตุกระตุ้น เช่น การอยู่ในฝูงชนแออัด อากาศร้อน การออกกลางแดด การอดนอน การอดข้าว การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การลุกจากท่านอนราบขึ้นยืนเร็ว ๆ (ควรลุกขึ้นอย่างช้า ๆ) การยืนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ (ถ้าจำเป็นต้องยืนเป็นเวลานาน ควรขยับเดินเคลื่อนไหวไปมาบ่อย ๆ) เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เครียด ตื่นเต้น ตกใจ กลัว เช่น ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องน่ากลัว หรือน่าตื่นเต้น การเห็นเลือด
    เมื่อมีอาการไม่สบาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน ควรรีบดูแลรักษาตัวเองให้ถูกต้อง (เช่น กินยาบรรเทาอาการ ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ป้องกันภาวะขาดน้ำ) หรือไปพบแพทย์โดยเร็ว
    เมื่อมีอาการเตือน (เช่น ศีรษะเบาหวิว วิงเวียน ตัวโคลงเคลง คลื่นไส้ หน้าซีด) ให้รีบนอนลงและยกเท้าสูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 30 ซม. หรือนั่งบนเก้าอี้แล้วก้มศีรษะลงซุกอยู่ระหว่างหัวเข่า 2 ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมหมดสติ

5. ถ้าเคยเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ให้หลีกเลี่ยงหรือควบคุมอากัปกิริยาที่เป็นสาเหตุ เช่น การไอ การเบ่งถ่าย เป็นต้น ถ้าเกิดจากความไวของคาโรติดไซนัส ก็ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อหรือเน็กไทรัดคอ ใช้มีดโกนไฟฟ้าแทนมีดโกนธรรมดา

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นลมส่วนใหญ่มักไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรง และไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ส่วนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำ (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

มีรายงานว่า หญิงตั้งครรภ์หากมีอาการเป็นลมบ่อย หรือมีอาการเป็นลมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตรแล้ว อาจพบว่าเป็นโรคหัวใจในภายหลังได้ และอาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกพิการแต่กำเนิดได้

ดังนั้น ถ้าพบอาการเป็นลมในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว หรือหญิงตั้งครรภ์ แม้ว่าอาการเป็นลมจะหายดีแล้ว ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมอย่างถี่ถ้วน และติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง

2. ผู้ป่วยที่เป็นลมส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชักเกร็งของแขนขาร่วมด้วย ส่วนน้อยอาจพบว่ามีอาการชักคล้ายโรคลมชัก ต่างกันที่ผู้ป่วยเป็นลมจะมีอาการชักตามหลังหมดสติ และชักเพียงช่วงสั้น ๆ (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 15 วินาที) ในขณะที่ผู้ป่วยลมชักจะมีอาการชักพร้อม ๆ กับหมดสติ และมักจะชักนานเกิน 1 นาที อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะยากที่จะวินิจฉัยแยกโรค 2 ชนิดนี้ได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นลมและมีอาการชักร่วมด้วย อาจพบว่ามีภาวะผิดปกติของหัวใจ (เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ) ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในผู้ใหญ่

ดังนั้น เมื่อพบผู้ที่เป็นลมและมีอาการชัก เมื่ออาการทุเลาแล้วควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เป็นต้น

3. ผู้ที่เป็นลมที่ไม่มีสาเหตุจากโรคหัวใจและโรคสมอง มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (ยกเว้นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ) ควรป้องกันไม่ให้เป็นลมซ้ำ โดยการหลีกเลี่ยงเหตุกระตุ้น และรู้จักปฏิบัติตัวต่าง ๆ (ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

แต่ถ้ามีอาการเป็นลมบ่อย ควรหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับรถ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร การว่ายน้ำตามลำพัง การอยู่ในที่สูง เป็นต้น และควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยสาเหตุให้แน่ชัด

4. ในการปฐมพยาบาล ขั้นตอนสำคัญที่สุดและควรรีบทำเป็นอันดับแรก ก็คือ การจับผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะต่ำ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองให้เพียงพอ ซึ่งมักจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นได้ภายในเวลาสั้น ๆ ส่วนวิธีช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การให้ดมแอมโมเนีย การเรียกดัง ๆ การบีบนวด การใช้ผ้าเย็นเช็ดตามหน้าและคอ การพัดลม อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นผู้ป่วย แต่ไม่ใช่วิธีการที่สำคัญในการช่วยให้ฟื้นสติ

หน้า: [1] 2 3 ... 32